ความเป็นมา

ฟาเลนอปซิส (Phalaenopsis) เป็นกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติ อยู่ในบริเวณ หมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, อากาศร้อนและมีความชุ่มชื้นสูงตลอดทั้งปี กล้วยไม้สกุลนี้จึงควรที่จะเจริญเติบโต ปลูกเลี้ยงได้ง่าย ไม่แพ้กล้วยไม้สกุลอื่น จึงได้รวบรวมวิธีการ ปลูกเลี้ยงและการขยายพันธุ์กล้วยไม้ฟาเลนอปซิสไว้ รวมถึงวัสดุปลูก และโรคของกล้วยไม้ที่พบอยู่บ่อย ๆ จัดได้ว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอันหนึ่ง กล้วยไม้ฟาเลนอปซิสมีการเจริญแบบ mono podial ซึ่งการขยายพันธุ์ทำได้ช้า ในอดีตอาจไม่ค่อยพบเห็นมากนัก ต่อมาวิทยาการทางด้านการ ขยายพันธุ์เจริญก้าวหน้ามากขึ้น และการปรับปรุงพันธุ์ ทำให้กล้วยไม้ฟาเลนอปซิส มีดอกและ ช่อดอกที่มีความสวยงาม จึงเป็นที่นิยมของผู้พบเห็น และในปัจจุบันได้กลายเป็นกล้วยไม้ตัดดอก ที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทย

การขยายพันธุ์กล้วยไม้ฟาเลนอปซิส

จากก้านช่อดอก

กล้วยไม้สกุลฟาเลนอปซิส (Phalaenopsis) มีด้วยกันทั้งหมด 43 ชนิดและ 36 พันธุ์ ขึ้นอยู่ในป่าที่มีความชื้นสูงทั่ว ๆ ไป ในประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ นิวกีนี กล้วยไม้พวกนี้ เมื่อนำมาผสมพันธุ์ทำให้ได้เป็นพันธุ์ใหม่ขึ้นมากมาย เป็นที่นิยมปลูกกันมากชนิดหนึ่งในประเทศ โดยเฉพาะแถวจังหวัดเพชรบุรี กล้วยไม้ชนิดนี้มีดอกสวยงาม รูปร่างคล้ายผีเสื้อกลางคืน มีช่อดอกยาว ดอกมีหลายสี เช่น ขาว ม่วง ชมพู เหลือง บางชนิดมีลวดลายเป็นจุดหรือเป็นขีดตามกลีบดอก ดอกบานพร้อมกันหมดในบางชนิดก็ทยอยกันบาน ดอกเก่าร่วงไปดอกใหม่ก็ออกมาแทนที่เรื่อย ๆ ไปเป็นเวลานานถึง 2-5 เดือน จึงเมาะสำหรับนำมาใช้ประดับบ้าน ส่วนพวกที่มีดอกสีขาว ชาวญี่ปุ่นนิยมเอาดอกมาทำช่อดอกไม้สำหรับติดเสื้อไปในงานพิธีต่าง ๆ

การขยายพันธุ์ฟาเลนอปซิสมีด้วยกันหลายวิธี จากการเพาะเมล็ด การตัดยอดไปปลูกใหม่ ตอที่เหลือก็จะสร้างต้นขึ้นมาใหม่ได้อีกหนึ่งหรือสองต้น ฟาเลนอปซิสบางชนิดเวลาดอกบานจวนหมดแล้ว จะพบว่าสามารถสร้างต้นอ่อนงอกออกมาจากปลายสุดของช่อดอก (ภาพที่ 1) ได้แก่ Phal. Amabilis. Phal. Equestris Phl. Equestris, Phal. Amabilis x Phal. Iueddemanniana, Phal. Xintermedia (Phal. Aphrodite x Phal. Equestrix) และ Phal. Mahinhin (Phal. Equestrix x Phal. Iuddemanniana

ฟาเลนอปซิสบางชนิดก็จะสร้างต้นตรงข้อของก้านช่อดอก (ภาพที่ 2) ได้แก่ Phal. Amboinensis, Phal. Cornu-cervi, Phal. Jasciata, Phal. Iueddemanniana, Phal. El Tigre (Phal. Cornn-cervi x Phal. Iueddemanniana) , Phal. Lady Rothschld (Phal. Xintermedia x Phal. Sanderana), Phal. Hermione (phal. Iueddemnniana x Phal. Stuartiana), และ Phal. Iueddemamiana x Phal. Speciosa

เมื่อนำฟาเลนอปซิสพวกที่สร้างต้นอ่อนที่ปลายช่อ เช่น Phal. Amabilis มาผสมกับพวกที่สร้างต้นที่ก้านช่อดอก เช่น Phal. Iueddemanniana ลูกผสมที่ได้นี้ชื่อ Phal. John Seden พบว่ามีการสร้างต้นได้ทั้งที่ปลายช่อดอกและก้านช่อดอก

ส่วน Phal. Stuartiana ที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้ เช่น ต้นลั่นทม มีรากเกาะยึดติดกับเปลือกไม้ พบว่าสามารถสร้างต้นอ่อนจากราได้เช่นกัน (ภาพที่ 3) ต้นอ่อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเหล่านี้สามารถนำไปใช้ขยายพันธุ์ได้ทั้งสิ้น (Intuwong and Sagawa, 1974)

ยังมีฟาเลนอปซิสอีกมากมาย โดยเฉพาะพวกลูกผสมจะไม่สร้างต้นอ่อนที่ก้านช่อดอกหรือที่ปลายช่อดอกเลย แต่ถ้าใช้สารฮอร์โมนบางชนิด เช่น N-6 Benzyl Adenine (BA) ที่มีความเข้มข้น 1,000 – 2,000 ppm. ผสมลาโนลินป้ายลงบนตาตามก้านช่อดอก พบว่า BA สามารถไปกระตุ้นให้ตาที่อยู่ในระยะพักตัวเจริญไปเป็นต้นได้หนึ่งต้น ได้แก่ Phal. Terri Cook และบางครั้ง จากหนึ่งตาก็จะสร้างเป็นต้นเล็ก ๆ มากมาย เกิดเป็นกระจุกที่ข้อของก้านช่อดอก (ภาพที่ 4) ได้แก่ Phal. Lucifr และบางทีตาก็กลายเป็นช่อดอกขึ้นมาอีก ได้แก่ Dtn. Dorette

ในห้องทดลองถ้าตัดก้านช่อดอกเหล่านี้มาเป็นท่อน ๆ แต่ละท่อนประกอบไปด้วยข้อซึ่งมีตาที่ถูกปกคลุมด้วยเยื่อบาง ๆ อยู่หนึ่งตา ยกเว้นข้อล่างสุดอาจไม่มีตา เมื่อนำมาเพาะเลี้ยงบนอาหารวุ้นสูตรวาชินและเว้นท์ในสภาพที่ปราศจากเชื้อโรคแล้ว พบว่าตาเหล่านี้จะกลายเป็นต้นได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน ต้นที่ได้ใหม่นี้เมื่อโตแข็งแรงมีรากงามแล้ว จึงนำไปปลูกขยายพันธุ์ในเรือนต้นไม้ต่อไป

การทดลองขั้นต่อไปมีจุดประสงค์ก็เพื่อที่จะศึกษาถึงแฟกเตอร์บางประการ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายพันธุ์กล้วยไม้สกุลฟาเลนอปซิสจากก้านช่อดอกในห้องปฏิบัติการให้ดีมากขึ้น

อุปกรณ์และวิธีการ

  1. ใช้ก้านช่อดอกฟาเลนอปซิสลูกผสม 22 พันธุ์
  2. นำมาเพาะโดยวิธีการที่บรรยายโดย Intuwong, Kunisaki และ Sagawa
  3. ในหัวข้อเรื่อง Vegetative Propagation of Phalaenopsis by Flower Stalk Cutting ที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร Hawaii Orchid Jornal ฉบับที่ December 1972

  4. สูตรอาหารที่ใช้ คือ วาซินและเว้นท์ (Vacin and Went, 1949) ซึ่งได้ดัดแปลงโดยการเติมน้ำมะพร้าว 15% ซึ่งจะเรียกสูตรใหม่นี้ว่า Bassal Medium (BM) และในบางกรณีก็เติม a - Napthalene acetic acid (NAA) ที่มีความเข้มข้น 0, 1, 5 และ 10 ppm. หรือเติม N-6 Benzyl Adenine (BA) ที่มีความเข้มข้น 0, 1, 5, 10 และ 20 ppm. แล้วแต่กรณี
  5. วาง culture ให้ได้รับแสงที่มีความเข้ม 200 แรงเทียน ตลอดเวลา 24 ชม. อุณหภูมิ 28° ซ.
  6. รวบรวมข้อมูลผลการทดลองเมื่อเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 2 เดือน หรือ 4 เดือน เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อไป

 

ผลการทดลองและวิจารณ์

Growth Pattern เมื่อนำก้านช่อดอกฟาเลนอปซิสมาเลี้ยงในอาหารวุ้นในสภาพปราศจากโรค ตาที่อยู่ตามข้อของช่อดอก มีการเจริญเติบโต 4 แบบ ดังนี้ คือ

  1. หยุดชงัก (Dormancy) ตาจะไม่มีการเจริญเติบโต
  2. เจริญไปเป็นต้น (ภาพที่ 5)
  3. เจริญไปเป็นโปรโตคอมร์ม (plb) ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเยื่อรูปร่างกลม ๆ แบบเดียวกับที่ได้จากการเพาะเมล็ด และโปรโตคอร์มแต่ละอันก็จะกลายเป็นต้นในที่สุด (ภาพที่ 6 และ 7)
  4. เจริญไปเป็นช่อดอก (ภาพที่ 8) แล้วเป็นต้นในภายหลัง

ตาที่จะมีการเจริญเติบโตไปเป็นต้น เป็นโปรโตคอร์ม หรือเป็นดอก หรือหยุดชะงัก ขึ้นอยู่กับแฟกเตอร์ต่าง ๆ บางประการ ดังต่อไปนี้

 

1. พันธุ์

ได้มีการทดลองเพาะเลี้ยงก้านช่อดอกฟาเลนอปซิสลูกผสม จำนวน 20 พันธุ์ บนอาหารสูตร BM เป็นจำนวน 392 culture หลังจากเลี้ยงได้ 2 เดือน ผลการทดลองปรากฏว่า (ดัง ตารางหน้าถัดไป)

 

ตาราง Inflorescence Node Propagation After Two Months.

Plant

No. of

Contaminated

Unconta

Culture producing

No.

Explants

 

minated

Dormant or

Dead buds

plbs

Plantlets

Inflorescencea

1208

1213

1221

1237

1243

1245

1253

1255

1302

1367

1603

1613

1622

1624

1669

1748

1766

1914

1916

2156

3

11

2

7

60

8

2

13

16

3

9

27

7

16

60

3

9

108

26

2

1

2

0

0

14

2

1

3

1

0

1

8

6

1

5

2

8

16

2

2

2

9

2

7

46

6

1

10

15

3

8

19

1

15

55

1

1

92

24

0

0

5

0

1

28

6

1

2

15

3

0

6

1

6

6

1

0

30

13

0

0

0

0

1

1

0

0

0

0

0

0

0

0

0

9

0

0

0

0

0

2

3

2

5

15

0

0

8

0

0

8

13

0

9

20

0

1

54

11

0

0

1

0

0

2

0

0

0

0

0

0

0

0

0

20

0

0

8

0

0

Total

Percent-age

392

100

75

19.1

317

80.9

124

39.1b

11

3.5b

151

47.6b

31

9.8b

a – Plantlets formed after inflorescence.

b – Percentage calculated from uncontaminated.

 

จากจำนวน culture ทั้งหมด 392 พบว่าสกปรกมีแบคทีเรียและราขึ้น 75 culture (91%) ต้องทิ้งไปภายในระยะเวลา 3-5 วัน ที่เหลืออยู่ 317 culture เมื่อเลี้ยงไว้เป็นเวลา 2 เดือน พบว่า 124 culture หรือ 39.1% ตาจะหยุดชะงัก เนื่องจากมีสารพวกหยุดชะงักการเจริญเติบโต (growth inhibitor) สะสมอยู่ในตาและก้านช่อดอก ได้แก่ กล้วยไม้บางพันธุ์ที่ทดลอง เช่น Phal. Chieftain (1302), Phal. Clara Knight (1245), Plal. Golden Coief (1367) เป็นต้น ดังนั้นถ้าต้องการจะได้ต้นก็อาจจะต้องเติมสารพวกที่ไปกระตุ้นให้มีการเจริญเติบโต (growth promoting substance) ลงไปในอาหารที่ใช้เพาะเลี้ยง

พวกที่ตาเจริญไปเป็นโปรโตคอร์มมี 3.5% หรือ 11 culture จากจำนวน 317 culture ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก แต่เมื่อได้โปรโตคอร์มแล้วการขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และไม่มีที่สิ้นสุด ตัวอย่างได้แก่ ลูกผสมของฟาเลนอปซิส และม้าวิ่ง (Doritaenopsis หรือ Dtn. ) คือ Dtn. Red Coral (1237) และ Dtn. Dorette (1243) และม้าวิ่ง Doritis pulcherrima (1669) อาจสรุปได้ว่าม้าวิ่งสามารถสร้างโปรโตคอร์มได้ดีกว่าฟาเลนอปซิส

151 culture หรือ 47.6% ตาเจริญไปเป็นต้น ซึ่งมีจำนวนต้นต่าง ๆ กัน ปกติได้หนึ่งต้นต่อหนึ่งตา แต่ในบางกรณีอาจได้ถึงสี่ต้น ถ้าต้องการจำนวนต้นมากขึ้นไปอีก ก็นำต้นเหล่านี้ออกไปแบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ กัน เช่น ใบ ราก ต้น แล้วเพาะเลี้ยงอวัยวะเหล่านี้ต่อไปในอาหารที่เหมาะสม ก็จะสร้างต้นเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้อีก (ผลงานจะตีพิมพ์ในโอกาสต่อไป) และในบางกรณีก็อาจจะนำเอาก้านช่อดอกที่กลายเป็นต้นมาทำให้สร้างโปรโตคอร์ม ซึ่งจากโปรคอร์มจะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และสามารถที่จะบังคับให้กลายเป็นต้นได้ในที่สุด (Intuwong and Sagawa, 1974)

Culture ที่เหลือ 31 culture หรือ 9.8% ได้เป็นช่อดอกสั้น ๆ ซึ่งที่ปลายช่อดอกก็สร้างเป็นต้นขึ้นมาใหม่ได้ หรือถ้าตัดปลายช่อดอกทิ้ง ให้เหลือข้อไว้บ้างที่โคนช่อดอก ตาที่ข้อนี้ก็จะสร้างต้นขึ้นมาใหม่ได้

จากจำนวน culture ที่สะอาดทั้งหมด 317 culture นี้ตาจะเจริญเติบโตสร้างโปรโตคอร์ม ต้น และดอกได้รวมกัน 60.9% บน BM ตัวอย่างได้แก่ Phal. John Seden (1914) D. pulcherrima (1669) และ Phal. Rosele (1613) เป็นต้น

จากการทดลองครั้งนี้อาจสรุปได้ว่า ตาจะเจริญหรือหยุดชะงักขึ้นอยู่กับพันธุ์และแฟคเตอร์อื่น ๆ เช่น ตำแหน่งของตาบนก้านช่อดอก

2. ตำแหน่งของตาบนก้านช่อดอก

ได้ทำการเพาะเลี้ยงก้านช่อดอกขอบม้าวิ่ง (D.pulcherrima ซึ่งแต่เดิมเคยจัดไว้ในพวกฟาเลนอปซิส เรียก Phal. Esmeralda) เป็นจำนวน 80 culture จารก 20 ก้านช่อดอก โดยเลือกก้านช่อดอกที่มีข้อ 5 ข้อด้วยกัน อันที่อยู่โคนสุดมักจะไม่มีตา จึงไม่นำมาใช้ในการทดลอง ตำแหน่งที่ 1, 2 และ 3 อยู่ถัดจากโคนมาตามลำดับ ตำแหน่งที่ 4 อยู่ติดกับดอกบานมากที่สุด นำมาเพาะเลี้ยงในอาหาร BM เป็นเวลา 2 เดือน ผลการทดลองแสดงในตาราง

ตาราง Inflorescence Node Propagation from Different Positions after two Months.

Explant

Culture

Conta-

Unconta-

Cultures Producing

positiona

     

Dormant or

     
   

minated

minated

Deal buds

plbs

plantlets

inflorescenceb

1

 

2

 

3

 

4

20

 

20

 

20

 

20

10

(50.0)c

5

(25.0)c

5

(25.0)c

5

(25.0)c

10

(50.0)

15

(75.0)

15

(75.0)

15

(75.3)c

1

(10.0)d

3

(20.0)

1

(6.7)

1

(6.7)

4

(40.0)

1

(6.7)

4

(26.7)

0

(0.0)

5

(50.0)

9

(60.0)

5

(33.3)

1

(6.7)

0

(0.0)

2

(13.3)

5

(33.3)

13

(86.7)

a numbered acropetally

b plantlets formed after inflorescence

( )c percentage

( )d percentage calculated uncontaminated.

 

ตาที่ก้านช่อดอกจะเจริญไปเป็นโปรโตคอร์ม ต้น หรือ ช่อดอก หรือหยุดชงักไม่เจริญก็ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งบนก้านช่อดอก (ภาพที่ 9-12) ตำแหหน่งล่าง ๆ คือ ตำแหน่งที่ 1 (ภาพที่ 9) และ (ภาพที่ 10) โอกาสเป็นต้นมีมาก และลดลงตามลำดับเมื่อตำแหน่งเลื่อนไปอยู่ปลาย ๆ ก้านช่อดอก ในทางตรงกันข้ามตำแหน่งใกล้ดอก คือ ตำแหน่งที่ 4 (ภาพที่ 12) และที่ 3 (ภาพที่ 11) ก็ยังมีโอกาสเป็นช่อดอกมาก เนื่องจากมีระดับ flowering hormone มากกว่าแถวโคนก้านช่อดอก อาจจะอธิบายได้ว่า flowering hormone ที่มีอยู่ก่อนก้านช่อดอกขณะที่ตัดมาปลูกนั้นได้ถูกใช้ไปหมด และสภาพในห้องทดลองก็ไม่เหมาะสมกับการออกดอก จึงทำให้ช่อดอกเปลี่ยนกลับมาสร้างต้นขึ้นใหม่

3. อิทธิพลของ a -Napthalene acetic acid (NAA)

ได้ทำการเพาะเลี้ยงก้านช่อดอก Phal. Lueddemanniana x Phal. Speciosa “Orchidglade” (1785) ในอาหาร BM + NAA 0, 1, 5 และ 10 ppm. อย่างละ 5 culture รวมทั้งหมด 20 culture เป็นเวลา 4 เดือน ผลการทดลองปรากฏดังแสดงในภาพที่ 13

ฟาเลนอปซิสนี้สามารถกลายเป็นต้นรากได้โดยใช้ BM แต่เมื่อเติม NAA ลงไปในอาหารในปริมาณ 5 และ 10 ppm. จำนวนรากจะเพิ่มขึ้นเป็นสอง ในขณะที่ 0 และ 1 ppm. มีรากเพียงหนึ่งรากเท่านั้น ความยาวของรากใน 1 และ 5 ppm. ดีที่สุด ส่วน 10 ppm. สูงเกินไปจะไประงับการเจริญเติบโตของราก

เมื่อทดลองเอาแต่เฉพาะตาโดยไม่มีก้านช่อดอกมาเลี้ยงในอาหาร BM + NAA ความเข้มข้นต่าง ๆ กันดังกล่าวแล้ว ผลการทดลองปรากฏดังในภาพที่ 14 คือ เมื่อใช้ BM ไม่มี NAA เลย ตาจะตาย ส่วน 1 ppm. มีหน่อและราก 3 ราก เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของ NAA เป็น 5 และ 10 ppm. จะทำให้การเจริญเติบโตของหน่อไม่ดี จำนวนรากก็มีเพียง 2 รากสั้น

สรุปว่า NAA จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของราก และทำให้ลำต้นเจริญช้าลง ในการทดลองครั้งนี้ ถ้าใช้ก้านช่อดอก NAA 5 ppm. ดีที่สุด ถ้าใช้เฉพาะแต่ตา 1 ppm. ดีที่สุด

4. อิทธิพลของ N-6-Benzyl adenine (BA)

ได้ทำการเพาะเลี้ยงก้านช่อดอกของ Phal. Lueddemanniana x Phal. Speciosa “Orchidglade” (1785) ในอาหาร BM + BA 0, 1, 5, 10 และ 20 ppm. อย่างละ 5 culture รวมทั้งหมด 25 culture เป็นเวลา 4 เดือน ผลการทดลองปรากฏดังแสดงในภาพที่ 15

ฟาเลนอปซิสพันธุ์นี้ สามารถกลายเป็นต้นและมีรากได้โดยใช้ BM แต่เมื่อเติม BA ลงไป 1 ppm. จะไปเพิ่มจำนวนต้นเป็นสองต้น แต่ไม่มีรากเลย และถ้าใช้ BA ที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น 5, 10 และ 20 ppm. จะไปกระตุ้นให้การเจริญเติบโตของต้นผิดปกติ คือ ยืดยาวออกและเลื้อย จำนวนต้นเกิดขึ้นมากมาย ใบจะมีสีเขียวอ่อน (เมื่อเปรียบเทียบกับที่ปลูกใน BM ซึ่งมีสีเขียว ใบจะเรียวเล็กและไม่มีรากเลย

เมื่อทดลองเอาแต่เฉพาะตาโดยไม่มีก้านช่อดอกมาเลี้ยงในอาหาร BM + BA ความเข้มข้นต่าง ๆ กันดังกล่าวแล้ว ผลการทดลองปรากฏดังในภาพที่ 16 คือ เมื่อใช้ BM ไม่มี BA เลยตาจะตาย ถ้าใช้ BA 1 ppm. จะได้ต้นหนึ่งต้นแต่ไม่มีราก ถ้าเพิ่มเป็น 5 ppm. ก็จะได้สองต้นแต่ไม่มีราก ถ้าเพิ่ม BA ให้มากขึ้นเป็น 10 และ 20 ppm. จะทำให้ตายได้

สำหรับกล้วยไม้พันธุ์ที่ขึ้นได้ใน BM ก็ไม่จำเป็นต้องเติม BA ลงในอาหารแต่มีบางพันธุ์ เช่น Phal. Arcardia x Phal. Cochleris (1916) ซึ่งตาไม่เจริญเมื่อใช้ BM แต่ถ้าเติม BM ลงไปใน BM พบว่า BA ที่ 5 ppm. ต้นเจริญได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ 1 และ 10 ppm. แต่ culture ทุกอันไม่มีรากเลย

กล้วยไม้แทบทุกสกุลสามารถนำมาขยายพันธุ์ได้มากมายโดยใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเมอริสเต็มจากหน่ออ่อน นอกจากนี้กล้วยไม้จำพวกโมโนโปเดียลก็ขยายพันธุ์จากช่อดอกอ่อน (Ordee and Sagawa, 1973, อรดี และซากาวา, 2516) ได้สำเร็จ ส่วนฟาเลนอปซิส ออนวีเดียม และเอพิเดนดรัม ซึ่งมีก้านช่อดอกยาว และที่ข้อของช่อดอกนี้มีตาอยู่ด้วยก็สามารถจะนำมาขยายพันธ์ได้ โดยวิธีการที่กล่าวนี้ ไม่ควรจะตัดทิ้งไปเมื่อดอกบานหมดแล้ว

อาจสรุปได้ว่าถ้าต้องการขยายพันธุ์ฟาเลนอปซิสจากก้านช่อดอกให้ลองเพาะเลี้ยงในอาหารสูตร BM (VW + 15% CW) ถ้าในเวลา 12 เดือน ตาเจริญไปเป็นต้นมีรากที่แข็งแรงก็ย้ายไปปลูกในเรือนต้นไม้ต่อไป แต่ถ้าตาไม่เจริญก็ให้ย้ายไปปลูกในอาหาร BM + 5 ppm. BA BA จะไปทำให้ตาเจริญไปเป็นต้น แต่ถ้าไม่มีรากก็ย้ายไปปลูกในอาหาร BA + 5 ppm. NAA จนมีต้นและรากที่แข็งแรงก็ย้ายไปปลูกในเรือนต้นไม้ต่อไป

 

โรคและแมลงกล้วยไม้

1. ไรกล้วยไม้

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ได้รู้จักกับแมลงตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ชื่อฟังดูน่ารังเกียจและรูปร่างหน้าตาก็ไม่ค่อยน่ารักเท่าไร แต่กิจกรรมหรือนิสัยของมันสิครับน่ารักมาก คือมันช่วยทำลายกัดกินตะไคร่ที่ขึ้นอยู่ตามกระเช้า, กระถาง, และเรือนกล้วยไม้ แมลงตัวนั้นก็คือ “เหาเปลือกไม้ (bark – lice)” นั่นเอง

คราวนี้ผมก็อยากจะแนะนำสัตว์ตัวเล็ก ๆ อีกกลุ่มหนึ่ง สีของมันสดใส สวย แต่กิจกรรมของมันร้ายกาจและเป็นอริสำคัญกับนักเลี้ยงกล้วยไม้ พูดถึงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า ทำไมผมจึงแนะนำหรือสนใจแต่ตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้น ความจริงก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่ศัตรูหรือสัตว์ตัวใหญ่ ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้นั้น ท่านคงพบเห็นมามากหรือคุ้นเคยกับมันดีแล้ว ผมก็เลยไม่อยากจะมาเล่าซ้ำ ส่วนตัวเล็ก ๆ คนไม่ค่อยคุ้นเคยกับมัน ทำให้มองข้ามความสำคัญไป ด้วยเหตุนี้เอง ศัตรูกล้วยไม้ประเภทตัวโต ๆ มักจะถูกปราบได้ง่ายหรือป้องกันได้ผลดีกว่าเจ้าตัวเล็ก ๆ ทั้งหลาย เมื่อไม่ค่อยมีผู้สนใจเจ้าศัตรูตัวเล็กแต่กิจกรรมใหญ่ ก็แสดงความสำคัญโดยระบาดทำลายกล้วยไม้ราคาแพงของท่านเมื่อตอนท่านเผลอ ตอนนั้นเจ้าตัวเล็กก็กลายเป็นผู้ร้ายตัวสำคัญไปเลย ศัตรูที่ผมจะนำมาเล่าให้ฟังนี้ไม่ใช่แมลง แต่จากการฟังดูหรือมองดูก็คล้าย ๆ แมลง แต่เนื่องจากว่ามี 8 ขา และลำตัวไม่แบ่งเป็นปล้อง ๆ และมีขนาดเล็ก ศัตรูชนิดนี้เรียกว่า “ไร” ซึ่งพวกเรามักจะเหมาเอาว่าไรชนิดใด ๆ ก็ตามที่พบบนพืชคือไรแดง ความจริงไรที่พบบนกล้วยไม้แบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ ๆ คือ

  1. ไรแดง (two-spotted spider mite) ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
  2. Tetranychus telarius

  3. False spider mites เท่าที่พบมี 4 ชนิดคือ
  4. Brevipalpus californicus

    B. oncidii

    Tenuipaepus pacificus

    และ Dolicotetranychus vandergootd

  5. Fungus mites

ความสำคัญของไรเหล่านี้ ไม่ด้อยไปกว่าศัตรูตัวใหญ่ ๆ เพราะแม้ไรจะไม่กัดกินกล้วยไม้หมดก็ตาม แต่ไรก็สามารถดูดกินน้ำเลี้ยงจนทำให้กล้วยไม้ทั้งต้นตายได้ นอกจากนี้ตัวไรไปทำลายดอกแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้ดอกซึ่งเจ้าของรอดูเป็นเวลานานต้องผิดหวัง เพราะทำให้ดอกมีรูปร่างผิดปกติไป ดอกเสียคุณภาพและราคาไปทันที เห็นหรือยังครับว่า ศัตรูตัวร้ายแม้จะมีขนาดเล็กนิดเดียว แต่พิษสงของมันก็ใหญ่เกินตัวมากมายเหลือเกิน

ไรแดง ทำลายใบของกล้วยไม้ทั้งหลาย และเป็นศัตรูสำคัญของ Cymbidium และ Cyenoches ไรแดงนี้จะดูดน้ำเลี้ยงใบทำให้เกิดจุดขาว ๆ เต็มไปหมดด้านใต้ใบ ซึ่งโดยปกติไรชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ใต้ใบ นอกจากใบ ไรแดงยังชอบทำลายดอกกล้วยไม้ด้วย จุดที่มันชอบทำลายที่สุดคือโคนกลีบเลี้ยงดอก (sepal) ในขณะที่เป็นตาดอกอยู่, และจะทำให้เกิดจุดใส ๆ รอบแผลที่ถูกดูดกิน จุดเหล่านี้ ถ้าพบแม้จุดเดียว ก็จะทำให้ดอกเป็นตำหนิและหมดราคาทันที แต่ถ้าพบหลาย ๆ จุด จะทำลายดอกทั้งดอก บางครั้งเมื่อกลีบเลี้ยงดอกแยกออกจากกัน ไรแดงจะเข้าไปที่ตาดอก ดูดกินน้ำเลี้ยงทั้งดอก ทำให้ดอกพิการ ไรแดงนี้มีขนาดเล็ก ยาว 1/50 นิ้ว ไรพวกนี้จะสร้างใยไปคลุมไข่เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับไข่ ไรแดงชอบอากาศแห้งและอุ่น ดังนั้น การพ่นน้ำในเรือนกล้วยไม้ในฤดูร้อน จะช่วยลดการระบาดของไรได้ ไรแดงมีลำตัวสีแดงสด เหลือง, หรือ เขียวก็ได้

False sipder mites พวกนี้เป็นศัตรูร้ายแรงมากของกล้วยไม้ โดยเฉพาะพวก ฟาเลอปซิส. ไรพวกนี้มีขนาดตัวเล็กมาก สีส้ม พวกนี้ไม่สร้างใยเหมือนไรแดง ดูดกินน้ำเลี้ยงจากทั้งด้านบนและด้านล่างของใบ ไรพวกนี้จะทำให้เกิดแผลเป็นหลุมซึ่งเกิดจากเซลล์ใบตาย ถ้ารุนแรงมาก ๆ ทำให้ใบตายได้

ครั้งแรก Flase spider mite จะทำให้เกิดอาการคล้ายสะเก็ด จุดสีเหลือง มีรูปร่างไม่แน่นอนบนใบ ต่อมา จุดนี้จะกลายเป็นหลุม มีสีขาวหรือเทา ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล และใบจะตายในที่สุด อาการทั่ว ๆ ไป มองดูคล้ายขี้กลาง หรือเชื้อราบนใบ หรือคล้ายใบเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ไรพวกนี้จะหลบอยู่ตามเส้นใบและผล

Fungus mites ไรพวกนี้มีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อย ๆ มี 2 ชนิด ๅซ

ชนิดแรกไม่มีสี ขนาดเท่าไรแดง มีขนยาวปกคลุมตัว

ชนิดที่สองมีสีน้ำตาลเข้ม ตัวกลม แข็ง เป็นมัน มีแผ่นแข็ง ๆ อยู่ใกล้ขาทั้งสองด้านของ ลำตัว

ทั้งสองชนิดนี้ ไม่ทำลายกล้วยไม้โดยตรง เนื่องจากมันอาศัยกินส่วนเน่าเปื่อย, เชื้อรา หรือตะไคร่ แต่เราอาจจะพบไรพวกนี้บนส่วนของกล้วยไม้ที่เป็นแผล

ในบ้านเรา คุณสิทธาภรณ์ อุปโยคิน และ คุณวัฒนา จารณศรี ได้รายงานว่าพบไรที่เป็นศัตรูกล้วยไม้ 3 ชนิด คือ Brevipalous californicus,, Tenuipalpus pacificus, และ dolicotetranychus vandergoote, ซึ่งทั้ง 3 ชนิดเป็น False spider mite.

 

2. โรคราเข้าไส้แก้ไขได้

โรคราเข้าไส้เป็นโรคที่นักเลี้ยงกล้วยไม้ทุกท่านเคยเห็นเป็นประจำ เพราะโรคนี้อาจจะนับได้ว่าเป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งของกล้วยไม้ ที่ว่าสำคัญนั้น ข้าพเจ้าหมายถึงว่าเรายังไม่ทราบแน่ชัดถึงวิธีการแพร่ระบาดของโรค เมื่อระบาดแล้ว อาจติดต่อกันตายได้หลายต้น และเป็นโรค ที่เกิดกับกล้วยไม้แทบทุกพันธุ์ โดยเฉพาะการป้องกันกำจัดก็รู้สึกจะยากด้วย

อาการของโรคราเข้าไส้ที่ข้าพเจ้าจะพูดถึงนี้ ข้าพเจ้าหมายถึงโรคที่เกิดจากเชื้อฟายทอบ เตอรา (Phytopthora sp.) ที่เริ่มเข้าทำลายจากทางโคนต้นหรือจากรากกล้วยไม้ มิใช่เกิดจากเชื้อที่ทำลายจากยอดลงมา ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ ก็เพราะยังไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นเชื้อชนิดเดียวกันหรือไม่

อาการของโรคราเข้าไส้ที่พบเห็นทั่วไปก็คือ เมื่อใบล่างที่เขียวอยู่จะหลุดจากต้นท่านจะเห็นโคนต้นมีสีน้ำตาลคล้ำ รากที่ถูกทำลายจะแห้งเหี่ยว ดังนั้น ถ้าหากผู้เลี้ยงกล้วยไม้สังเกตเห็นใบกล้วยไม้สีเขียวร่วงหล่นอยู่กับพื้น ขอให้รีบสังเกตต้นที่อยู่เหนือใบร่วงนั้น ถ้าหากใบอื่น ๆ ยังไม่มีแผลสีน้ำตาลเข้มตามโคนใบ ก็นับว่าท่านได้สังเกตเห็นโรคเกิดกับกล้วยของท่านทันท่วงที การป้องกันและกำจัดอาจทำได้สำเร็จ แต่ถ้าสังเกตได้ช้าไป โรคระบาดรุนแรงหรือขึ้นถึงยอดแล้ว การป้องกันและกำจัดจะไม่ได้ผลเลย ต้นที่กำลังเป็นโรครุนแรงโคนใบอื่น ๆ จะเกิดแผลสีน้ำตาลเข้ม โดยเฉพาะที่ยอดจะมีอาการเช่นเดียวดังกล่าวแล้ว ถ้าท่านเห็นต้นที่มีอาการเช่นนี้ ก็ควรจะนำกล้วยไม้ต้นนั้นไปเผาได้เลย เพราะโรคระบาดทั่วลำต้นแล้วจะทำอย่างไรก็รักษาไม่หาย

อาการใบร่วงที่เกิดจากราเข้าไส้นี้ ถ้าดูเผิน ๆ จะนึกว่าเกิดจากเชื้อชนิดอื่น ๆ ที่ทำลายตรงโคนของกาบใบ ทำให้ใบหลุดร่วง เช่นบางท่านเรียกว่ากล้วยไม้แก้ผ้า โรคกล้วยไม้แก้ผ้านี้ ก่อนที่ใบจะร่วง ใบจะมีสีเหลืองเห็นได้ชัด จากนั้น 2-3 วัน ใบจะหลุดจากต้นกาบใบที่เหลือติดกับต้นมักจะมีสีคล้ำ แต่โคนต้นยังดูปกติอยู่ ซึ่งผิดกับโรคราเข้าไส้ที่ใบหลุดแล้ว โคนต้นจะมีสีคล้ำไปด้วย

การป้องกันกำจัดโรคราเข้าไส้ที่ข้าพเจ้าได้ศึกษามาหลายวิธีแล้ว แต่วิธีที่คิดว่าจะดีที่สุดในปัจจุบันก็คือใช้ยาสตรปโตไมซิน (streptomycin) ผสมน้ำควบกับยาเทดตราไซคลิน (thiramdisulphide) , เช่น ที่ประเทศไทยมีชื่อว่ายาเทอร์ซาน เป็นต้น ผสมน้ำประมาณ 3 ช้อนแกง ต่อ 1 กระบอกฉีด หรือประมาณ 1 ลิตรครึ่ง) เพราะยานี้ต้องผสมเข้มข้นจึงใช้ได้ผลดีมาก แต่ไม่เป็นอันตรายต่อใบและต้นกล้วยไม้ ใช้น้ำยาที่ผสมแล้วนี้ ฉีดให้เข้าตามกาบใบ แล้วปล่อยให้แห้งจึงค่อยรดน้ำ การฉีดยาพวกนี้ ถ้าทำตอนบ่าย ซึ่งจะไม่ต้องรดน้ำหลังฉีดยาได้ก็จะดี เพราะยาจะได้ซึมแทรกเข้ากาบใบฆ่าเชื้อโรคที่โคนกาบใบได้ดีขึ้น ฉีดยานี้ตั้งแต่ยอดถึงรากสัก 2-3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3-4 วัน โรคแก้ผ้าจะหาดเด็ดขาด

ส่วนการป้องกันกำจัดโรคราเข้าไส้นั้น ข้าพเจ้าได้ทดลองหลายวิธีโดยใช้ยาหลายชนิด และใช้ความรุนแรงของโรคที่แสดงอาการอยู่กับกล้วยไม้ เช่นเริ่มเป็นโรคจนถึงเป็นโรคมากแล้ว ผลปรากฏว่าการใช้ยาสเตรปโตไมซินผสมกับเทดตราไซคลินในน้ำ แช่ได้ผลดีโดยมีวิธีการดังนี้

  1. เอาผงยาสเตรปโตไมซิน 1 กรัม ผสมกับผงเทรดตร้าไซคลิน 2 เม็ด (500 มิลลิกรัม) ในน้ำ 1 ลิตร ครึ่ง
  2. ต้นที่เริ่มเป็นโรค เช่นใบเริ่มร่วงหลุดเพียงไม่เกิน 3 ใบ จะได้ผลดีที่สุดในการป้องกันกำจัด แต่ถ้าต้นที่เป็นมากจนเชื้อรากินทั่วลำต้นจะไม่ได้ผลในการป้องกันกำจัดเลย
  3. เมื่อเตรียมน้ำยาตามข้อ (1) เสร็จแล้ว, ก็ทำการตัดลำต้น (ยกต้น) ขั้นแรกก็ตัดโคนออกประมาณ 1 ใน 3-4 ส่วนของส่วนสูงจากโคนถึงยอด (ตรงคอตัววี) แล้วดมตรงรอยตัดว่ามีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือไม่ ถ้ามีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวและมีรอยดำ แสดงว่าส่วนตรงนั้นเน่าเสียแล้ว ไม่เจริญเติบโตต่อไป จะต้องตัดลำต้นให้สูงขึ้นไปอีก จนรู้สึกว่าทั้งกลิ่นและสีมีลักษณะดีขึ้นมาก จึงนำตรงรอยตัดแชในน้ำยาตามที่เตรียมไว้ ที่ข้าพเจ้าทดลองตรงรอยตัดยังมีกลิ่นและมีสีคล้ำเล็กน้อยเพราะไม่สามารถจะตัดได้มากกว่านี้ เพราะตัดไปเกือบจะครึ่งต้นอยู่แล้ว

  4. จดวันตัดแช่และชื่อต้นไม้ไว้ที่ใบด้วยหมึกญี่ปุ่น แล้วจึงนำลงแช่ในถุงพลาสติก ให้น้ำยาแช่โคนต้นตัดให้สูงขึ้นมาอย่างน้อย 2-3 นิ้ว โดยเทยาราดให้ทั่วตั้งแต่ยอดลงไปด้วยเพื่อให้น้ำยาป้องกันกำจัดทุกส่วนของต้นกล้วยไม้ที่แช่น้ำยา
  5. นำถุงพลาสติกแช่กล้วยไม้นี้ตั้งในกระป๋อง แล้วรวบถุงน้ำยาให้ระดับน้ำยาในถุงท่วมต้นให้มากที่สุด ตั้งกระป๋องแช่ถุงนี้ที่มีแดดส่องรำไร เพื่อให้กล้วยไม้ได้แสงแสว่างพอในการปรุงอาหารตามปกติ และสามารถดูดน้ำยาเข้าลำต้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ป้องกันกำจัดเชื้อโรคที่เหลืออยู่ในลำต้นได้ผลดี
  6. เมื่อแช่ได้ 6 ชม. ก็นำต้นขึ้น ทาด้วยยาเทอร์ซานตรงรอยตัด ปล่อยให้แห้งก่อนรดน้ำ จากนั้น ก็นำไปแขวนในที่ได้แสงสว่าง แต่ไม่ถูกแดด ให้โคนชี้ฟ้า, แล้วรดน้ำ รดปุ๋ยตามปกติ
  7. หลังจากแช่น้ำยาครั้งที่ 1 ครบ 7 วัน ให้นำมาแช่น้ำยาที่เตรียมใหม่ (ตามส่วนผสมที่กลายไว้ในข้อ (1)) เป็นครั้งที่ 2 ก่อนแช่ให้เอาใบมีดโกนที่คม ๆ ปาดส่วนปลายของโคนต้นออกเล็กน้อยก่อนแช่น้ำยา การที่ปาดให้เกิดส่วนใหญ่ขึ้นก็เพื่อให้ต้นไม้กล้วยดูดน้ำยาได้ดีขึ้น ส่วนวิธีการแช่ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในข้อ (4) ทุกขั้นตอน
  8. แช่น้ำยาเป็นครั้งที่ 3 เช่นที่ปฏิบัติในข้อ (6) หลังจากทำครบ 3 ครั้ง จะสังเกตได้ว่าใบล่างของกล้วยไม้จะไม่มีการเป็นต่อไปอีก แสดงว่าเชื้อโรคที่มีเหลืออยู่สนส่วนของลำต้นบ้าง อาจถูกทำลายจนหมดสิ้น

เท่าที่ข้าพเจ้าทดลอง ข้าพเจ้าใช้ต้นฟ้ามุ่ยที่ออกดอกแล้ว 1 ครั้ง ต้นสูงประมาณ 40 ซม. ฟ้ามุ่ยเป็นต้นไม้ที่อ่อนแอต่อโรคราเข้าไส้มากชนิดหนึ่ง แต่หลังจากแช่น้ำยามาแล้วกว่า 3 เดือน ส่วนที่ทดลองก็ยังคงเจริญต่อไปได้ ไม่เน่าตาย แม้ว่าการทดลองในเรื่องนี้จะใช้ตัวอย่างไม่มากนัก และไม่มีการทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง แต่ก็เป็นการริเริ่มที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ป้องกันโรคราเข้าไส้ได้ผลดี และจะเป็นแนวทางให้นักวิจัยได้ทำการทดลองให้กว้างขวางต่อไป อันจะเป็นประโยชน์แก่วงการกล้วยไม้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะต้นกล้วยกล้วยไม้ที่ดี ราคาแพง และหายาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาจนสุดฝีมือ ราคาของยาทั้ง 2 ชนิดที่ใช้ผสมไว้แช่ 3 ครั้ง เป็นราคารวมไม่เกิน 20 บาท แต่ว่าการใช้แต่ละครั้งใช้เพียงครึ่งเดียว ดังนั้นการแช่ต้นไม้ 3 ครั้ง จะเสียเงินไม่เกิน 10 บาท นอกจากนั้น ยาผสมนี้ยังใช้ได้ผลดีมากในการป้องกันกำจัดโรคบักเตรี (bacteria) ที่ทำให้ใบกล้วยไม้ในคอมพอทช้ำเน่าตายอีกด้วย

 

 

เอกสารอ้างอิง

กองส่งเสริมพืชสวน. 2537. คู่มือการผลิตไม้ตัดดอก. กรมส่งเสริมการเกษตร.

กุลฉวี กำจายภัย. 2526. โรคและแมลงศัตรูกล้วยไม้. บริษัทบางกอง ฟลาวเวอร์ เซ็นเตอร์ จำกัด

ครรชิต ธรรมศิริ. 2542. เทคโนโลยีการผลิตกล้วยไม้. อมรินทร์พริ้นติ้ง กรุงเทพฯ.

ชวลิต ดาบแก้ว. 2542. การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สำหรับผู้แรกเริ่ม.

ธีระ สูตะบุตร, ปราณี ก่อประดิษฐ์สกุล. 2517. โรคกล้วยไม้. วิทยาสารสโมสรกล้วยไม้บางเขน.

นิตสิต บุญหลง. 2527. การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ฟาเลนปอซิส. วิทยาสารสโมสรกล้วยไม้บางเขน.

พิสมัย ชวลิวงศ์พร และคณะ. 2524. การศึกษาเกี่ยวกับชีวประวัติและการป้องกันกำจัดเพลี้ยงไฟกล้วยไม้. กรมวิชาการเกษตร.

ไพบูลย์ ไพรีพ่ายฤทธิ์. 2521. กล้วยไม้สำหรับผู้เริ่มเล่น. อาทรการพิมพ์ กรุงเทพฯ.

มลิวัลย์ พรหมรักษา. 2539. กล้วยไม้ตัดดอกเศรษฐกิจ.

รพีพันธ์. 2527. ตำรากล้วยไม้ฉบับสมบูรณ์.

ระพี สาคริก. 2530. กล้วยไม้. สำนักพิมพ์ช่อนนทรี กรุงเทพฯ.

วิทยา สงคะกุล. วน.บ. 2526. การเพาะเลี้ยงกล้วยไม้เบื้องต้น. กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้.

อรดี สหวัชรินทร์. 2527. การขยายพันธุ์กล้วยไม้ฟาเลนอปซิส. วิทยาสารกล้วยไม้บางเขน