กล้วยไม้สกุล PHALAENOPSIS
สกุลฟาเลนอปซิส มีอยู่ด้วยกันประมาณ 70 ชนิด จาก ชะวา, สุมาตรา, เอเชีย และ ฟิลิปปินส์ จัดว่าเป็น กล้วยไม้อากาศ ที่สวยงามและน่าปลูกเลี้ยงได้สกุลหนึ่ง ถึงแม้ดอกจะ ไม่ใหญ่นัก โดยเฉพาะในประเทศไทย เราจะเก็บได้ตามหัวเมืองชายทะเล ทั้งฝั่งตะวันตก และ ตะวันออก และที่เขาตะนาวศรี
ในต่างประเทศ สกุลนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Dogwood Orchid และได้มีการนำมาผสมเป็นลูกผสมพันทาง ดอกสีขาวสวยงามขึ้นอีกมาก
ลักษณะและนิสัยของฟาเลนอปซิส ที่น่าสังเกต คือ ไม่มีลูกกล้วย ก้านใบสั้น มีใบเหนียวค่อนข้างใหญ่ยาว ส่วนรากก็ยาวและดกเช่นเดียวกัน มักจะโผล่เลื้อยออกมานอกกระถางยาวกว่า 2 ฟุต เพื่อชอนไชหาอาหารตามธรรมชาติของมัน ทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่ายว่ากล้วยไม้ชนิดนี้ชอบอาหารทางอากาศมาก ส่วนก้านดอกนั้นจะงอกที่แกนใบยาวบ้างสั้นบ้างตามลักษณะพันธุ์แต่ละชนิดของมัน
P. amabilis (ฟ. แอมาบิลิส)
พันธุ์นี้จัดว่าเป็นพันธุ์ใหญ่ ใบยาวถึง 20 นิ้ว ให้ดอกสีขาวล้วน ๆ ขนาดใหญ่ 5 นิ้ว อย่างจะมีสีอื่นปนอยู่บ้างก็เป็นจุดแดงเล็ก ๆ แต้มประปรายที่โคนกลีบP. buyssoniana (ฟ. ไบยิสโซเนียนา)
ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อว่า Doritis Pulcherrima var. buyssoniana ซึ่งเป็นลักษณะที่แยกออกจากพันธ์ไบยีสโซเนียนานั่นเอง พันธุ์นี้มีใบเขียวเป็นลายพร้อยยาว 5 ? 8 นิ้ว ดอกขนาด 2 นิ้ว สีดอกเป็นสีแดงเข้มแกมม่วง กลีบนอกอยู่ล่าง 2 กลีบสีขาว
P. esmeralda (ฟ. เอสเมอราลดา)
เป็นพันธุ์ที่แยกออกมาและรู้จักกันในชื่อว่า Doritis pulcherrima ใบสีเขียวยาว 6 นิ้ว ให้ดอกสีชมพูหรือสีกุหลาบ ปากม่วงแก่แฉกข้างเหลืองน้ำตาล
P. Iueddemanniana (ฟ. ลึดเดมันเนียนา)
ใบยาวขนาด 6-10 นิ้ว และซ้อนกันแน่น สีเขียวอ่อนให้ดอกงามขนาด 2 นิ้ว กลีบนอกยาวรีปลายแหลม สีพื้นดอกขาวเป็นส่วนมาก สลับลายสีม่วงหรือแดงเข้มเป็นวงกลม ถ้าเลี้ยงให้ดีก็ติดดอกได้สวยงาม พันธุ์นี้ถิ่นกำเนิดอยู่ทางฟิลิปปินส์
P. mannii (ฟ. แมนนิอิ)
จัดว่าเป็นพันธุ์ที่ให้ดอกงามเหมือนกัน ดอกสีเหลืองทอง แต้มสีน้ำตาล ปากสีเหลืองอ่อนสลับสีม่วง พันธุ์นี้ชอบอากาศเย็นจัด ประมาณ 54-62 องศาฟาเรนไฮต์
P. parishii (ฟ. ปาริสชิอิ)
เป็นพันธุ์เตี้ย ใบแตกต่างกันยาว 2-4 นิ้ว ให้ดอกสีขาวจุดม่วง และกลีบด้านบนมีสีชมพูอ่อน สลับอยู่ด้วย ปากสีเหลือง-น้ำตาลจุดกลาง ถิ่นกำเนิดเดิมทางพม่า
P. rosea (ฟ. โรซิอา)
พันธุ์นี้เล็ก ใบยาว 8 นิ้ว ให้ดอกเล็กมากขนาด 1 นิ้ว เป็นดอกสีชมพูพื้น แต่ดอกดก และน่าเอ็นดู ดอกสีขาว บางชนิดก็เหลือบม่วงชมพู ฤดูออกดอก เดือนเมษายน-มิถุนายน ถิ่นกำเนิดเดิม ฟิลิปปินส์
P. cornu-cervi (ฟ. คอร์นู-เซอร์วิ)
ดอกไม่ค่อยงามนักแต่เป็นกล้วยไม้พันธุ์แปลกดี ทางประเทศไทยเราจะเก็บได้ตามหัวเมืองชายทะเล หรือทางเหนือ ดอกขนาด 1-2 นิ้ว กลีบนอกและกลีบในแบบเดียวกัน ดอกสีเหลืองเป็นพื้นมีเส้นขวางหรือแต้มจุดสีน้ำตาลแดง เหตุที่มีชื่อว่า cornu ? cervi (ซึ่งแปลว่า เขากวาง) เพราะก้านช่อที่ส่งดอกเป็นรูปเขากวาง ทางเชียงใหม่เรียก ?เอื้องตะเข็บ หรือ ?เอื้องจะเข็บ? บางแห่งในกรุงเทพฯ ก็เรียก เอื้องม้าลายเสือ?
P. pulcherrima (ฟ. พัลเชอร์ริมา)
เป็นพันธุ์เล็กแต่งามมาก เข้าใจว่าเป็นพันธุ์เดียวกับ P. esmeralda ซึ่งต่างประเทศรู้จักกันในนามว่า Doritis pulcherrima แต่ในประเทศไทยเราพบที่เขาตะนาวศรี ทางตราดเรียกว่า กล้วยหิน ให้ดอกเล็กมาก ช่อดอกตั้งตรงยาวประมาณ 10-12 นิ้ว กลีบดอกเป็นสีม่วงชมพู ปากสีม่วงแก่แฉกข้างเหลืองน้ำตาล
Phalaenopsis Iueddemanniana
โดยธรรมชาติทั่วไป สกุลฟาเลนอปซิส เจริญเติบโตในที่ร่มและอบอุ่น การปลูกเลี้ยง บนบ้านหรือภายในบริเวณบ้าน บางครั้งก็ต้องประกอบด้วยความชื้นประมาณ 50-70 เปอร์เซ็นต์ เครื่องปลูกส่วนมากนิยมใช้อ๊อสมันด้า หรือเปลือกเฟอร์ขนาดใหญ่ และต้องการให้มีทางระบายน้ำได้ดีด้วย อุณหภูมิตอนค่ำ ไม่ควรต่ำกว่า 54 องศา
อีกข้อหนึ่ง คือการระวังอย่าให้เครื่องปลูกแห้งได้เป็นอันขาด ตามปกติจะต้องใช้ปุ๋ยผสมน้ำรดช่วยด้วยเสมอ ในขณะที่เริ่มจะขยายตัว และหลังจากหยุดการให้ดอกหรือดอกเริ่มเหี่ยวเฉาลงแล้ว จะต้องใช้กรรไกรตัดก้านหรือปุ่มออกด้วย ก้านใหม่จะได้ผลิภายหลัง โดยปกติ ดอกฟาเลน อปซิส เมื่อยู่กับต้นจะทนนานได้ถึง 7 สัปดาห์
การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ฟาเลนอปซิส
พอเริ่มเข้าฤดูฝนทั้ง ๆ ที่ลูกไม้ออกจากขวดได้ไม่ถึง 6 เดือน, ต้นที่ใหญ่ที่สุดมีใบยาวเกือบ 4 นิ้ว และทุกต้นโตวันโตคืน ในช่วงฤดูฝนนี้คงให้น้ำแต่ตอนเช้าของวันที่ฝนไม่ตกเวลาเดียว ตอนเย็นงดให้น้ำ รากเริ่มงอกจากกระถางมาเกาะที่กระเช้าและเลื้อยไปตามเนื้อไม้ จะไม่พยายามพุ่งออกนอกกระเช้า แขวนห้อยในอากาศเหมือนพวกสกุลช้าง บางครั้งแม้ว่ารากจะพุ่งออกมาปลายจะค่อยโค้งงอกลับเข้าไปจับกระเช้าอีก แต่เมื่อต้นโตเต็มที่แล้ว รากจึงจะแขวนห้อยอยู่ในอากาศ ต้นที่งามและสมบูรณ์ รากจะงอกยาวออกจนระผิวดิน ที่แปลกก็คือปลายรากที่ระอยู่ที่ดินนี้ไม่เน่า ดูท่าจะเจริญงอกงามเป็นกระจุกดูดอาหารจากผิวดินเสียอีก
อีก 2 ปีต่อมา ลูกกล้วยไม้ทั้งหมดมีใบเฉลี่ยประมาณ 5 ใบ ใบมีขนาดกว้าง, หนา, และอวบ ยาวประมาณ 10 นิ้ว เริ่มแทงช่อออกดอกให้ชมในปลายฤดูฝน ซึ่งเป็นปีที่ 3หลังจากเอาออกจากขวด
จากประสบการณ์ที่ได้พบมา อยากจะขอรวบรวมเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
ยาที่ใช้คือ เซฟวิน 85 และอิรีซีส ฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์ ควรระวังฉีดให้ทั่วต้น โดยเฉพาะใต้ใบ ฟาเลนอปซิสมีใบใหญ่ ซ้อนกัน จึงเป็นจุดอับที่ยาเข้าไปถึง กลายเป็นแหล่งเพาะโรค ต้นใดที่เกิดมีใบเหลืองโดยที่ไม่ใช่ใบล่างสุดซึ่งจะต้องร่วงหล่นไปก่อนตามธรรมชาติ ให้รีบตรวจดูบริเวณใต้ใบทันที มักจะมีเพลี้ยแดงจับเกาะอยู่
นอกจากนั้น ส่วนใดของใบที่ถูกแสงแดดส่องถูกอยู่ที่เดียวเป็นเวลานานมักจะเป็นรอยไหม้ แล้วก็เน่าขยายโตขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดจะเหลืองทั่วไปและร่วงไป จึงต้องคอยระวังระแนงบังแดดบนหนังคาเรือนอย่าให้ชำรุดจนเป็นช่องโต
ยาที่ผสมกับน้ำในอัตราเข้มข้น อาจทำอันตรายที่ใบอ่อนที่ยอดให้หงิกงอได้เหมือนกัน เวลาฉีดยาจึงควรจะใช้หัวฉีดอย่างชนิดฝอยละเอียด และฉีดในเวลาเช้ามืดหรือตอนเย็น
เครื่องปลูกกล้วยไม้
เครื่องปลูกกล้วยไม้มีมากมายหลายชนิด และมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้ปลูกกล้วยไม้ต่าง ๆ กัน เครื่องปลูกกล้วยไม้ที่จัดว่ามีคุณสมบัติต่อการนำไปใช้ปลูกกล้วยไม้ ควรมี คุณลักษณะดังนี้ คือ
เครื่องปลูกกล้วยไม้ที่นักเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทยนิยมใช้ปลูกกล้วยไม้ในปัจจุบันอาจแบ่งออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ ๆ ตามลักษณะระบบรากกล้วยไม้ คือ
เครื่องปลูกชนิดต่าง ๆ ที่นิยมใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศและรากกึ่งอากาศ มีดังต่อไปนี้คือ
1. อ๊อสมันด้า (Osmunda fibre)
อ๊อสมันด้า (Osmunda fibre) เป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่ดีที่สุด เพราะคุณสมบัติเหมือนหรือใกล้เคียงกับคุณลักษณะเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่เหมาะสมและดีที่สุด ดังกล่าวมาแล้ว ข้างต้น เช่น ทนทานดี เก็บความชุ่มชื้นได้พอเหมาะ ไม่เปียกแฉะหรือแห้งเกินไป ไม่เป็นพิษ และเมื่อผุพังสลายตัวจะเป็นอาหารของกล้วยไม้เหล่านี้ เป็นต้น แต่อ๊อสมันด้าก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือ มีราคาค่อนข้างแพงกว่าเครื่องปลูกชนิดอื่น ๆ อ๊อสมันด้าตามปกติใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) กล้วยไม้สกุลแคทลียา (Cattleya) ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วยไม้ที่มีรากระบบกึ่งอากาศที่มีคุณลักษณะดีเด่น เช่น ราคาแพง ต้องทะนุถนอม ส่วนใหญ่มักจะปลูกด้วยอ๊อสมันด้า
2. ถ่าน (Charcoal)
ถ่านในที่นี้ หมายถึง ถ่านไม้ที่ใช้ในการหุงต้มอาหารนั้นเอง ถ่านเป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่ดีชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีปริมาณมาก หาง่าย ราคาไม่แพง คงทนถาวร ไม่เน่าเปื่อยผุพังง่ายและดูดอมน้ำได้ดีพอเหมาะ ไม่ชื้นแฉะเกินไปแล้ว ยังช่วยดูดกลิ่นที่เน่าเสีย และ ทำให้อากาศบริสุทธิ์อีกด้วย อย่างไรก็ตามถ่านยังมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือมักมีรา ในการใช้ถ่านเป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ถ้าเป็นกล้วยไม้ที่มีระบบแบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) กล้วยไม้สกุลแคทลียา (Cattleya) ควรใช้ถ่านป่นเป็นก้อนเล็ก ๆ ผสมกับอิฐหัก หรือใช้อิฐหักรองก้นกระถางประมาณ ½ กระถาง แล้วใช้ถ่านป่นใส่ทับข้างบน จนเต็มหรือเกือบเต็มกระถางจากนั้นจึงเอากล้วยไม้ปลูกโดยวางทับไว้บนถ่านป่นอีกทีหนึ่ง สำหรับถ่านที่จะใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีรากระบบแบบรากอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda) สกุลช้าง (Rhynchostylis) สกุลเข็ม (Ascocentrum) สกลุกุหลาบ (Aerides) ฯลฯ ถ้าเป็นกล้วยไม้ขนาดเล็กหรือยังเป็นลูกกล้วยไม้อยู่ เช่น มีขนาดสูงประมาณ 1 ½ - 3 นิ้ว ก็ควรใส่ถ่านก้อนเล็ก ๆ หรือถ่านป่นไว้บ้างพอสมควร แต่ถ้าเป็นกล้วยไม้ที่มีขนาดโตแล้ว ควรใส่ถ่านก้อนโต ๆ ไว้ประมาณ 5 ? 10 ก้อน ก็ได้ เพื่อช่วยอุ้มความชุ่มชื้นไว้ให้กล้วยไม้ และในการที่ใส่ถ่านก้อนโต ๆ หรือจำนวนเล็กน้อยในการปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศก็เพื่อต้องการให้บริเวณภายในกระถางมีช่องว่างมาก ๆ และโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ซึ่งเหมาะสมแก่ความต้องการหรือความเจริญเติบโตของกล้วยไม้ที่มีรากระบบนี้
3. อิฐหักและกระถางดินเผาแตก
อิฐหัก อิฐดินเผา และกระถางดินเผาแตก ตามปกติใช้เป็นเครื่องปลูกโดยใช้รองก้นกระถางสำหัรบปลูกกล้วยไม้ที่มีรากระบบกึ่งอากาศ ซึ่งมีรากเฟิร์น หรืออ๊อสมันด้า หรือกาบมะพร้าว หรือถ่านป่น หรือถ่านป่นผสมอิฐหัก อย่างใดอย่างหนึ่งอัดหรือโรยไว้ข้างบน ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้ด้านล่างของกระถางหรือภาชนะปลูกโปร่ง อากาศถ่ายเทสะอาด และเป็นการช่วยในการระบายน้ำ ในกระถางน้ำให้ดีขึ้นอีกด้วย
4. ทรายหยาบและหินขัดหรือหินเกล็ด
ในการปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบกึ่งอากาศบางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสกุลหวาย (Dendrobium) ที่ปลูกไว้เพื่อตัดดอกเป็นสินค้า เช่น มาดาม หรือมาดามปอมปาดัวร์ (Dendrobium Pompadour) ได้มีนักเลี้ยงกล้วยไม้บางท่านใช้ทรายหยาบ และหินขัดหรือหินเกล็ด (หินขัดหรือหินเกล็ดตามปกติใช้ในการก่อสร้างโดยใช้โรยบนผิวพื้นคอนกรีต แล้วใช้เครื่องขัดจนเรียบซึ่งเรียกว่า ?พื้นหินขัด?) ที่ได้ล้างสะอาดแล้วเป็นเครื่องปลูก โดยด้านล่างหรือก้นกระถางใส่อิฐหัก หรือถ่านป่นไว้ ส่วนด้านบนใช้ทรายหยาบโรยไว้หนาประมาณ ½ ถึง 1 นิ้ว แล้วใช้หินขัดหรือหินเกล็ดโรยทับทรายหนา
เครื่องปลูกสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบกึ่งดิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกล้วยไม้ดิน เช่น กล้วยไม้สกุล Spathoglotis เป็นต้น ตามปกติโดยทั่ว ๆ ไปแล้วใช้พวกอินทรีย์วัตถุที่เน่าเปื่อยผุพังและร่วนซุยเป็น Humus แล้วแต่เพียงอย่างเดียวหรืออาจใช้ผสมกับทรายและปุ๋ยคอกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างบ้างเล็กน้อยก็ได้ สำหรับก้นกระถางนั้นควรใช้อิฐหักใส่รองไว้ประมาณ 1/3 กระถาง เพื่อเป็นการช่วยให้ดีมีช่องอากาศและช่วยในการระบายน้ำได้ดีขึ้น
ภาชนะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้
ภาชนะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่นิยมกันในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็นพวกใหญ่ ๆ คือ
1. กระถางหมู่หรือ กระถางผอท (Community pot)
กระถางหมู่หรือกระถางผอทนี้ เป็นกระถางดินเผาสำหรับใช้ปลูกลูกกล้วยไม้ที่เอาออกจากขวดวุ้นใหม่ ๆ ซึ่งยังมีขนาดเล็กโดยใช้รากเฟร์น หรืออ๊อสมันด้าสับเป็นเส้นสั้น ๆ เป็นเครื่องปลูก กระถางหมู่หรือกระถางผอมที่ใช้ปลูกกล้วยไม้ขายปกติมีขนาด 3 ½ นิ้ว (วัดความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางปากกระถาง) เจาะรูที่ก้นกระถางเพื่อเป็นการระบายน้ำ 1 รู กรุถางผอทใช้ปลูกกล้วยไม้ได้ประมาณ 30 ? 50 ต้น อย่างไรก็ตามในการปลูกกล้วยไม้ในกระถางผอทนี้ ผู้เพาะเลี้ยงกล้วยไม้ขายบางคนอาจใช้กระถางแบบอื่นแทน เช่น กระถางชนิดมีรูรอบตัวทรงเตี้ย ซึ่งมีขนาดโตเท่าหรือใหญ่กว่ากระถางผอทก็ได้ หรือถ้าเป็นการนำลูกกล้วยไม้อกจากขวดวุ้นเพื่อปลูกเลี้ยงเองอาจใช้กะบะไม้หรือกะบะพลาสติกขนาดใหญ่ปลูกกล้วยไม้ แทนกระถางผอทก็ได้
2. กระถางเจี๊ยบหรือกระถาง 1 นิ้ว
กระถางเจี๊ยบหรือกระถาง 1 นิ้ว นี้เป็นกระถางทรงสูง ขอบปากกระถางใหญ่ขนาดโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางปากกระถาง 1 นิ้ว มีรูที่ก้นกระถางสำหรับระบายน้ำ 1 รูป กระถุางเจี๊ยบใช้สำหรับปลูกกล้วยไม้ทั้งที่มีระบบรากแบบรากอากาศและรากแบบกึ่งอากาศที่นำออกจากขวดวุ้นใหม่ ๆ ซึ่งมีขนาดโตแล้ว คือสูงประมาณ ½ - 1 นิ้ว (ส่วนลูกกล้วยไม้ที่มีขนาดเล็ก ๆ จะนำไปปลูกในกระถางหมู่หรือกระถางผอท) หรือใช้สำหรับปลูกกล้วยไม้ที่แยกออกจากกระถางหมู่ ซึ่งปกติจะมีขนาดโตสูงประมาณ ½ - 1 ½ นิ้ว โดยมีรากเฟิร์นหรืออ๊อสมันด้าเป็นเครื่องปลูก
3. กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัว
กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวนี้เหมาะที่จะนำไปใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศที่โตแล้ว โดยย้ายลูกกล้วยที่ได้ปลูกเลี้ยงไว้ในกระถางเจี๊ยบมาปลูกไว้ในกระถางชนิดนี้ การที่เจาระรูกระถางไว้มากรอบตัวก็เพื่อต้องการแสงสว่าง อากาศ และน้ำ ถ่ายเทได้มากและสะดวก นอกจากนี้รูต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบกระถางยังเป็นช่องทางให้รากกล้วยไม้ระบบรากอากาศแทงยื่นโผล่ออกจากกระถางไปสู่อากาศได้สะดวกอันเป็นปกตินิสัยของกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบนี้ กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวหรือเจาะรูรอบตัวมีรูปลักษณะ หรือรูปทรงสัณฐาน แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ
3.1 กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวแบบทรงเตี้ย
กระถางชนิดนี้จะมีรูปทรงแบนหรือเตี้ย ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศที่มีรูปทรงของลำต้นไม่สูงนัก หรือเตี้ย เช่น กล้วยไม้สกุลเข็ม (Ascocentrum) สกุลช้าง (Rhynchostylis) สกุล Ascocenda (ลูกผสมระหว่างสกุล Vanda กับสกุล Ascocentrum) หรือกล้วยไม้พวกแวนด้านในแบน (Satulate or strap-leaf Vanda) เช่น Vanda coerulea, Vanda sederiana, Vanda Rothschildiana, Vanda Bill Suttor, Vanda Onomea, Vanda Joan Riothsand เป็นต้น กระถางชนิดนี้ตามปกติจะมีขนาดตั้งแต่ 2 ½ - 8 นิ้ว
3.2 กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวแบบทรงสูง
กระถางชนิดนี้โดยทั่ว ๆ ไป แล้ว เหมาะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ซึ่งมีระบบรากแบบรากอากาศมีลำต้นค่อนข้างสูงหรือสูงปานกลาง เช่น พวกแวนด้าใบร่อง (Semi-Terete Vanda) และแอสโคเซนด้าใบร่อง อาทิเช่น Vanda T M A, Vanda Josephine Van Brero, Vanda Tan Chin Tuan, Vanda Blue Hoon, Ascocenda Ooi Leng Sun ตามปกติกระถางชนิดนี้จะมีขนาดตั้งแต่ 6 ? 12 นิ้ว
4. กระถางดินเผาชนิดมีรูน้อยหรือเจาะรูน้อย
กระถางชนิดนี้จัดอยู่ในลักษณะกระถางดินเผาทรงสูงมีขอบปากกระถางใหญ่และหนา ตัวกระถางเจาะรูไว้ประมาณ 4 ? 12 รูป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของกระถางคือกระถางใหญ่จะมีรูมากกว่ากระถางขนาดเล็ก นอกจากจะมีรูที่ตัวกระถางแล้วยังมีรูที่ก้นกระถางอีก 1 รู กระถางชนิดนี้เหมาะที่จะนำไปใช้สำหรับปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) และสกุลแคทลียา (Cattleya) เป็นต้น ทั้งนี้เพราะรากกล้วยไม้พวกนี้ชอบหนีแสง คือฝังตัวลงในเครื่องปลูก ดังนั้นกระถางจึงต้องทำรูให้มีจำนวนน้อยรูเพื่อให้ทึบ ส่วนที่ต้องทำรูหรือเจาะรูไว้นั้นก็เพื่อการระบายน้ำและเป็นช่องระบายอากาศให้เข้าออกได้สะดวก กระถางชนิดนี้ปกติจะมีขนาดตั้งแต่ 2 ½ - 6 นิ้ว
5. กระถางดินเผาชนิดมีรูที่ก้นกระถางแห่งเดียว
กระถางชนิดนี้เป็นกระถางชนิดเดียวกับที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่ว ๆ ไป คือ มีรูระบายน้ำที่ก้นกระถาง 1 รู กระถางดินเผาชนิดนี้มีรูที่ก้นกระถางแห่งเดียวนี้ ใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งดินซึ่งเรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า กล้วยไม้ดิน เช่น กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี (Paphiopedilum) สกุลเอื้องพร้าว (Phaius) สกุลคูลู (Habenaria) และสกุลสปาโธกล้อททึส (Spathoglottis) เป็นต้น กระถางดินเผาชนิดมีรูที่ก้นกระถางแห่งเดียวสำหรับปลูกกล้วยไม้ ที่มีระบบรากกึ่งดินหรือกล้วยไม้คืนนี้ปกติใช้ขนาด 4 ? 10 นิ้ว
กะเช้าไม้ส่วนมากทำด้วยไม้สัก เนื่องจากทำและตบแต่งได้ง่ายและมั่นคงถาวรไม่ผุง่าย กระเช้าไม้โดยทั่ว ๆ ไป นิยมทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีขนาดต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ 4 x 4 นิ้ว จนถึง 10 x 10 นิ้ว กระเช้าไม้เป็นภาชนะปลูกกล้วยไม้ที่โปร่งมีช่องว่าง ? รอบตัว ฉะนั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศ ที่มีลักษณะรูปทรงของลำต้นไม่สูงนัก หรือเตี้ย เช่น กล้วยไม้สกุลช้าง (Rhynchostylis) สกุลกุหลาบ (Aerides) สกุลเข็ม (Asocentrum) สกุล Ascocenda (สกุล Ascocenda เกิดขึ้นจากกล้วยไม้สกุล Vanda ผสมกับกล้วยไม้สกุล Ascocentrum) และกล้วยไม้พวกแวนด้าใบแบน (Spatulate หรือ Strap-leaf Vanda) เช่น Vanda coerulea, Vanda sarderiana, Vanda Diane Ogawa, Vanda Blue Feeling, Vanda Rothschildiana, Vanda James Toogood, Vanda Jenie Hashimoto เหล่านี้เป็นต้น
การขยายพันธุ์กล้วยไม้ฟาเลนอปซิส
การขยายพันธุ์กล้วยไม้อาจจำแนกออกได้เป็น 3 วิธีใหญ่ ๆ คือ
1. การขยายพันธุ์กล้วยไม้โดยวิธีตัดแยกหน่อและลำ หรือต้นจากต้นหรือกอเดิม (Vegetative Propagation)
การขยายพันธุ์กล้วยไม้โดยวิธีตัดแยกหน่อและลำต้นออกจากต้นหรือกอเดิมนี้อาจจำแนกได้เป็น 3 วิธี ดังต่อไปนี้
ลำต้นของกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) สกุล Catteya และสกุลอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึง กันกับสกุล cattleya เช่น สกุล Laelia, Brassavola Brassocattleya และสกุล Sophrolaelia เป็นต้น ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโตแบบ Sympodial
ดังกล่าวมาแล้วในบทต้น ๆ ว่า กล้วยไม้ประเภทที่มีการเจริญเติบโตแบบ Monopodial นั้น มีการเจริญเติบโตในทางส่วนยอด คือยอดจะยาวสูงขึ้นไป เรื่อย ๆ และถ้าต้นกล้วยไม้นั้นเจริญแข็งแรงสมบูรณ์ดีก็อาจมีการแตกหน่อจากตาที่อยู่ข้างลำต้น หน่อกล้วยไม้ที่เกิดขึ้นใหม่นี้เรียกชื่อได้อีกอย่างหนึ่งว่า ?ตะเกียง? หน่อหรือตะเกียงสามารถที่จะตัดแยกนำไปปลูกใหม่ได้ ฉะนั้นการแตกแยกหน่อ หรือตะเกียงกล้วยไม้จากต้นแม่หรือต้นเดิม จึงเป็นวิธีการขยายพันธุ์กล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโตแบบ Monopodial อีกวิธีหนึ่ง หน่อหรือตะเกียงที่จะตัดแยกไปปลูกใหม่ควรปล่อยให้เจริญเติบโตพอสมควร
การเพาะเมล็ดกล้วยไม้
1. เครื่องมือที่ใช้ในการเพาะเมล็ด
เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ คือ
2. วุ้นสำหรับเพาะเมล็ดกล้วยไม้ (culture media)
วุ้นสำหรับใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้มีหลายสูตร วุ้นบางสูตรสามารถนำไปเพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้หลายสกุล แต่วุ้นบางสูตรเหมาะสมที่จะนำไปใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้สกุลหนึ่งสกุลใดเพียงสกุลเดียวเท่านั้น สูตรวุ้นที่สำคัญและนิยมใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้ในประเทศไทย ปัจจุบันต่อไปนี้เป็นสูตรที่วุ้นที่ได้รับการปรับปรุงจากสูตรวุ้นเดิม ทั้งนี้เพื่อให้การเพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้ผลดีและสะดวกต่อการทำวุ้นสูตรวุ้นนี้ ใช้สำหรับทำวุ้น 1 ลิตร และถ้าหากต้องการทำวุ้นหลายลิตร ก็ให้เพิ่มสารต่าง ๆ มากขึ้นตามส่วน
2.1 สูตรวุ้น Burgeff Eg 1
สูตรวุ้น Burgeff Eg 1 สามารถนำไปใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้สกุลต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มีรากระบบรากอากาศและรากระบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุล Vanda, Rhynchostylis, Aeride, Ascocenda, Dendrobium, Cattleya ฯลฯ สูตรวุว้น Brugeff Eg 1 มีดังนี้
hydroxide NaOH สำหรับใช้ปรับความเป็นกรดเป็นด่าง หรือ pH ของวุ้น เพื่อให้วุ้นได้ pH5. ตามปกติสูตรวุ้น Burgeff Eg 1 เดิมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วน ก ตั้งแต่สารหมายเลข 2.1.3 ? 2.1.6 พร้อมน้ำกลั่นหรอน้ำฝน 400 ซีซี และน้ำมะพร้าว 100 ซีซี ส่วน ข ตั้งแต่สารหมายเลข 2.1.7 ? 2.1.8 พร้อมด้วยน้ำฝนหรือน้ำกลั่น 400 ซีซี และน้ำมะพร้าวอ่อน 100 ซีซี เวลาผสมส่วน ก และ ข แยกกัน แล้วจึงเทส่วน ข ผสมลงไปในส่วน ก จากนั้นจึงเอาวุ้นใส่ แล้วยกขึ้นตั้งไฟ เมื่อวันละลายแล้วจึงเทน้ำตาลใส่ แต่เนื่องจากในทางปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องแยกผสมส่วน ก และ ข คือสามารถรวมกันได้ โดยใส่สารลงในหม้อเรียงตามลำดับ ดังจะได้กล่าวต่อไป ฉะนั้น ในที่นี้จึงไม่ได้แยกสูตรวุ้นออกเป็นส่วน ก และ ส่วน ข ไว้
3. การทำ Stock solution
ในการใช้สารเคมีต่าง ๆ ทำวุ้นสำหรับใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้นั้น เนื่องจากใช้เป็นจำนวน หรือปริมาณน้อยมาก จึงเป็นการยากลำบากและอาจมีการผิดพลาดได้ง่ายมาก ในกรที่จะช่วยให้ได้น้ำหนักตามสูตรวุ้นที่ต้องการแม้ว่าจะใช้เครื่องมือที่มีความไวและละเอียดมากเป็นพิเศษก็ตาม ดังนั้น เพื่อความสะอาดในการใช้สารเคมีต่าง ๆ ทำวุ้น นักเพาะเลี้ยงกล้วยไม้จึงนิยมทำสารเคมีต่าง ๆ ให้เป็นน้ำยา (Solution) เสียก่อน โดยทำให้น้ำยา (Solution) ของสารเคมีแต่ละชนิด จำนวน 20 ซีซี มีปริมาณสารเคมีชนิดนั้นเท่ากับที่กำหนดไว้ในสูตรวุ้น เช่น น้ำยา (solution) ของ Calcium nitrate 20 ซีซี มี ปริมาณ Calcium nitrate อยู่ 1.00 กรัม หรือน้ำยา (Solution) ของ Ammonium Sulphate 20 ซีซี มีปริมาณของ Ammonium sulfate 0.25 กรัม หรือน้ำยา (Solution) ของ Magnesium sulphate 20 ซีซี มีปริมาณ Magnesium sulphate 0.02 กรัม ดังนี้เป็นต้น
ในการทำน้ำยา (Solution) ของสารเคมีต่าง ๆ แต่ละสาร จำนวน 20 ซีซี ให้มีปริมาณสารเคมีชนิดนั้น ๆ เท่ากับที่กำหนดไว้ในสูตรวุ้นมีวิธีการทำดังนี้
ตัวอย่างที่ 1
สมมุติว่าจะทำน้ำยา (Solution) ของ Calcium nitrate จำนวน 20 ซีซี ให้มีปริมาณ Calcium nitrate อยู่ 1.00 กรัม
วิธีทำ
น้ำยา (Solution) 20 ซีซี มี Calcium nitrate = 1 กรัม
? 1,000 ซีซี ? =
= 50 กรัม
ทำการชั่ง Calcium nitrate จำนวน 50 กรัม ใส่ลงในขวดแก้ว ปากกว้าง หรือ Beaker แล้วเทน้ำกลั่นลงไปจำนวน 1,000 ซีซี หรือ 1 ลิตร แล้วให้แท่งแก้วคน จนกระทั่ง Calcium nitrate ละลายหมดก็จะได้น้ำยา (Solution) ของ Calcium nitrate ตามต้องการ คือ น้ำยา (Solution) Calcium nitrate 20 ซีซี มีสาร Calcium nitrate 1.00 กรัม จากนั้นเอาน้ำยาใส่ขวดปิดยาให้มิดชิดเก็บไว้ใช้ทำวุ้นต่อไป
ในการทำน้ำยา (Solution) สารเคมีอื่น ๆ ตามสูตรวุ้นก็ให้ปฏิบัติในทำนองเดียวกันดังกล่าวมาแล้ว
4. วิธีทำวุ้น
(ตัวอย่างวิธีทำวุ้น จำนวน 1 ลิตร) วิธีทำวุ้นให้ดำเนินก่อนหลังตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้
อนึ่ง เพื่อความสะดวกรวดเร็วและไม่ต้องเสียเวลารอนานจนเกินไปในการเปิด Autoclave เอาขวดวุ้นและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกอาจจะช่วยลดความดัน (Pressure) ใน Autoclave ให้เร็วขึ้นโดยค่อย ๆ เปิด Safety valve ให้ไอน้ำค่อย ๆ ออก การเปิด Safely valve นี้ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุดเพราะถ้าเปิดมากไปไอน้ำจะพุ่งออกจาก Autoclave ทาง Safety valve อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้วุ้นพุ่งทะลักออกจากขวดก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้
5. การรมตู้เพาะ
ตามปกติเชื้อพวกบักเตรี (Bcteria) และเห็ดรา (Fungi) จะมีอยู่ทั่วไปทั้งในอากาศ น้ำ และในดิน วุ้นสำหรับเพาะเมล็ดกล้วยไม้นั้นเป็นอาหารชั้นดีเลิศของพวกเชื้อบักเตรี (Bacteria) และเห็ดรา (Fungi) เพราะฉะนั้น ในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้หรืออีกนัยหนึ่ง คือการนำเอาเมล็ดกล้วยไม้เข้าไปไว้บนวุ้นในขวดจึงจำเป็นต้องกระทำอย่างมิดชิด เช่น กระทำกันในที่ที่ไม่มีเชื้อบักเตรี หรือเห็ดรา เป็นต้น และสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ก็คือ ตู้เพาะ (Transfer hood) ทั้งนี้ เพราะตู้เพาะเป็นห้องขนาดเล็ก กว้างประมาณ 70 ? 80 ซม. ยาวประมาณ 110 ? 130 ซม. และสูงสุดประมาณ 60 ? 70 ซม. เท่านั้น จึงสามารถควบคุมและฆ่าเชื้อโรคพวกบักเตรีและเห็ดราได้ง่ายสะดวกและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยก็คือวิธีรมยาหรือรมแก๊สด้วยด่างทับทิมกับฟอร์มาลิน วิธีทำคือ เอาด่างทับทิมประมาณ 1 ?2 ช้อนกาแฟ ใส่ไว้ในถ้วยเคลือบแล้วนำไปใช่ไว้ในตู้เพาะ จากนั้นฟอร์มาลิน (Formalin) ขนาด 40% ใส่ลงไปในถ้วยด่างทับทิมประมาณ 1 ? 2 ช้อนโต๊ะ แล้วปิดตู้เพาะไว้โดยไม่ต้องเปิดตู้เพาะอีกจนกว่าจะทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ด่างทับทิมจะทำปฏิกิริยาฟอร์มาลินเกิดเป็นแก๊สสามารถฆ่าเชื้อพวกบักเตรีและเห็ดราภายในตู้ได้ การรมตู้เพาะควรกระทำก่อนที่จะดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ทุก ๆ ครั้ง กล่าวคือ ถ้าเป็นการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ติดต่อกันไปหลาย ๆ วัน หรือทิ้งระยะห่างกันครั้งละไม่นานวันนัก เช่น ห่างกันครั้งละ 2-3 วัน ดังนี้เป็นต้น เมื่อรมยาครั้งหนึ่งไปแล้วก็อาจใช้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้หลายครั้ง แต่ถ้าเป็นการเพาะเมล็ดกล้วยไม้แต่ละครั้งห่างกันหลาย ๆ วัน เช่น ห่างกัน 10-20 วันขึ้นไปเมื่อจะทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ก็จำเป็นต้องรมยาอีกเสียก่อน
6. การเตรียมเมล็ดกล้วยไม้สำหรับใช้เพาะ
ดังกล่าวมาแล้วว่าเชื้อพวกบักเตรีและเห็ดรามีอยู่ไปทุกหนทุกแห่งทั้งในดิน น้ำ และอากาศ และอาจเกาะอยู่ตามผักและเมล็ดกล้วยไม้ด้วย ฉะนั้น ก่อนที่จะเมล็ดกล้วยไม้ไปเพาะลงในวุ้นจึงจำเป็นต้องทำความสะอาดเสียก่อน โดยนำไปฆ่าเชื้อบักเตรีและเห็ดรา ดังต่อไปนี้
7. วิธีดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้
วิธีดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้หมายถึง วิธีที่นำเมล็ดกล้วยไม้เข้าไปไว้ในวุ้นในขวดเพื่อให้เมล็ดกล้วยไม้งอกเป็นต้นกล้วยไม้ต่อไป วิธีดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้อาจทำเป็นขั้นตอนตามลำดับดังต่อไปนี้
การถ่ายขวดลูกกล้วยไม้
1. ประโยชน์ของการถ่ายขวด
ในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้นั้น เมื่อเมล็ดกล้วยไม้งอกมักจะอยู่กันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางแห่งลูกกล้วยไม้อาจอยู่กันไม่หนาแน่น แต่บางแห่งอาจมีลูกกล้วยไม้อยู่กันอย่างเบียดเสียดหนาแน่น และในทางปฏิบัติผู้เพาะมักนิยมเพาะให้มีลูกกล้วยไม้ในขวดค่อนข้างหนาแน่น โดยใส่เมล็ดกล้วยไม้ใน Hydrogen peroxide มากกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อลูกกล้วยไม้ในขวดเพาะเจริญเติบโตอายุได้ประมาณ 2 ? 3 เดือน จึงนำไปถ่ายขวดใหม่ ล
การถ่ายขวดลูกกล้วยไม้มีประโยชน์หลายอย่าง กล่าวคือ
2. วุ้นสำหรับถ่ายขวดลูกกล้วยไม้
วุ้นสำหรับใช้ถ่ายขวดลูกกล้วยไม้นี้ในปัจจุบันนิยมสูตร Vacin and Went ซึ่งเป็นสูตรวุ้นเดียวกันกับที่ใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้
3. วิธีถ่ายขวดลูกกล้วยไม้
วิธีถ่ายขวดลูกกล้วยไม้ดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) กล้วยไม้
นักวิทยาศาสตร์สามารถนำเนื้อเยื่อของพืชมาเพาะเลี้ยงได้นานมาแล้ว แต่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช สิ่งจะได้รับความสนใจศึกษาค้นคว้าทดลองปรับปรุงให้ได้ผลดียิ่งขึ้น และนำมาใช้ปฏิบัติในการขยายพันธ์พืชอย่างจริงจังแพร่หลายเมื่อประมาณปี พ.ศ.2503 มานี้เอง เนื้อเยื่อของพืชที่นำมาเพาะเลี้ยงนั้น โดยปกติทั่ว ๆ ไปแล้วรวมหมายถึง เนื้อเยื่อ (Tissue) เซลล์ (Cell) และอวัยวะ (Organ) ต่าง ๆ เช่น ตา ปลายยอด และปลายราก เป็นต้น อาหารที่ใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อนั้นมีทั้งที่เป็นวุ้นและอาหารเหลว การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นวิชาการแขนงหนึ่งหรือศาสตร์หนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมีเทคนิค และวิธีการดำเนินงานได้หลายรูปแบบ หรือหลายวิธีต่าง ๆ กัน การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของพืชจะทำได้สำเร็จเรียบร้อยดียากง่ายเพียงใดนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีดำเนินงานแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอีก 2 อย่าง คือ สูตรอาหารว่าจะเหมาะสมต่อการนำไปเลี้ยงเนื้อเยื่อของพืชชนิดนั้น ๆ หรือไม่เพียงใด ซึ่งตามปกติแล้วเนื้อเยื่อของพืชแต่ละชนิดย่อมมีความต้องการสูตรอาหารไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การเลือกใช้สูตรอาหารโดยใช้สูตรอาหารที่เหมาะสม ต่อความต้องการของเนื้อเยื่อพืชแต่ละชนิดจึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างหนึ่งในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชแต่ชะชนิด ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ยากง่ายต่างกัน แม้แต่กล้วยไม้ เท่าที่ได้มีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาแล้ว ปรากฏว่าการการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) และกล้วยไม้สุกลแคทลียา (Cattleya) สามารถกระทำได้ง่ายกว่ากล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda) เป็นต้น
ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการเพาะเลี้ยงด้วยตาของหน่อกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrohium) คือมาดามหรือมาดามปอมปาดัวร์ (Dendrobium Pompadour) โดยใช้อาหารเหลวเท่านั้น เพราะเป็นวิธีที่ได้ผลดีและนิยมปฏิบัติกันในวงการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้พอสมควร
สูตรอาหารเหลวสำหรับเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
สูตรอาหารเหลวสำหรับใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้มีหลายสูตรเท่าที่นิยมใช้กันในประเทศไทย เนื่องจากใช้ได้ผลดี ได้แก่ สูตรของ Vacin and Went ซึ่งเป็นสูตรเดียวกันกับใช้ทำงวุ้นเพาะเมล็ดกล้วยไม้เพียงแต่ไม่ต้องใส่วุ้นลงไปเท่านั้น
สูตรอาหารเหลวสำหรับใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จำนวน 1 ลิตร มีดังนี้
|
= = = = = = = = = = |
800 200 0.20 0.525 0.25 0.25 0.50 0.0075 0.028 20.00 |
c.c. c.c. g. g. g. g. g. g. g. .g |
วิธีเตรียมอาหารเหลวสำหรับเลี้ยงเนื้อเยื่อ
การเตรียมอาหารเหลวสำหรับใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้นี้ดำเนินการอย่างเดียวกับการเตรียมวุ้นสำหรับเพาะเมล็ดกล้วยไม้ดักล่าวมาแล้วใน คือ นำสารต่าง ๆ ในสูตรวุ้นตั้งแต่เลขที่ 3 ? 9 ไปทำ Stock solution เสียก่อนโดยให้น้ำยา (Solution) ของสารแต่ละชนิด จำนวน 20 c.c. มีสารอยู่เท่ากับที่กำหนดไว้ในสูตร เช่น น้ำยา (Solution) Ca3 (PO4)2 จำนวน 20 c.c. มีสาร Ca3 (PO4)2, อยู่ 0.20 กรัม หรือน้ำยา (solution) KHO3 จำนวน 10 c.c. มีสาร KHO3 อยู่ 0.525 กรัม ดังนี้เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเตรียมอาหารเหลว
วิธีเตรียมอาหารเหลวจำนวน 1 ลิตร สำหรับใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ดำเนินการตาม ขั้นตอนดังต่อไปนี้
วิธีดำเนินการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยใช้ตากล้วยไม้ Phalaenopsis ซึ่งเป็นกล้วยไม้สกุลหวาย ด้วยอาหารเหลว
การเลี้ยงรากฟาเลนอปซิสให้เป็นต้น
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ถ้านำเอาตายอดหรือตาข้างของกล้วยไม้ทั้งพวกซิมโพเดียล, เช่น ซิมบิเดียม, - แคทลียา, เดนโดรเบียม, ออนซิเดียม; และโมโนโพเดียล, เช่น แวนดา, แอสโคเซนดา, อะแรนดา ฟาเลนอปซิส มาฟอกฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำยาคลอรอกซ์, แล้วเลี้ยงด้วยอาหารวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยเกลือแร่ธาตุต่าง ๆ, น้ำตาล, สารประกอบอินทรีย์บางชนิด ไวตามิน, และฮอร์โมน ในห้องทดลองที่ได้มีการควบคุมอุณหภูมิและแสงสว่างแล้ว, เนื้อเยื่อจากตายอดหรือตาข้างเหล่านี้สามารถจะเจริญเติบโตกลายเป็นโปรโตคอร์ม, และมีใบ, มีรากเกิดขึ้น, กลาย เป็นต้นได้เป็นจำนวนมากมายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จึงได้นำเอาวิธีการอันนี้มาใช้ขยายพันธุ์กล้วยไม้เพื่อกิจการตัดดอกในประเทศไทยในปัจจุบัน โดยวิธีการดังกล่าวนี้สามารถที่จะผลิตต้นได้เป็นจำนวนแสนต้นภายในระยะเวลาหนึ่งถึงสองปี และประการสำคัญที่สุด คือดอกจะออกมาเหมือนกันเอง และเหมือนกับต้นเดิมด้วย, ซึ่งผิดกับวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด, ซึ่งจะได้ลูกออกมามีความแปรปรวนมากมาย, ไม่เหมาะในกิจการตัดดอก
ยังมีกล้วยไม้บางสกุลที่มีก้านช่อดอกยาว, และที่ก้านช่อดอกมีตาอยู่ตามข้อ, ข้อละหนึ่งตา, ตัวอย่างได้แก่ : คอไรติส, ดอไรแตนอปซิส, ฟาเลนปซิส, ออนซิเดียม, และเอพิเดนดรัม, ตาเหล่านี้ เมื่อนำมาฟอกฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำยาคลอรอกซ์, แล้วตัดออกเป็นท่อน ๆ เลี้ยงในอาหารวุ้น, ตาเหล่านี้จะเจริญเติบโตกลายเป็นต้น หรือเป็นโปรโตคอร์ม, และนำไปใช้ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนอื่น ๆ ของกล้วยไม้ เช่น ช่อดอกอ่อนของแอสโคฟินีเตีย, ใบของดอไรติส, ดอไรแตน เปซิส, และแวนดา, เมื่อนำมาเลี้ยงในอาหารที่เหมาะสมแล้วก็สามารถสร้างเป็นต้น หรือเป็นโปรโตคอร์ม, และกลายเป็นต้นได้เช่นกัน บทความเรื่องนี้จะเสนอให้เห็นถึงวิธีการเลี้ยงรากฟาเลนอปซิสจากต้นที่เจริญอยู่ในเรือนต้นไม้ ให้เป็นโปรโตคอร์ม และเป็นต้นได้เป็นจำนวนมาก
ฟาเลนอปซิสที่เป็นรู้จักกันดีและนิยมปลูกกันมาก มีก้านช่อดอกยาว ดอกจะทยอยกันบานจากโคนไปหาปลาย เมื่อดอกบานจนหมดแล้ว ที่ปลายช่อดอกนี้จะสร้างเป็นต้นเล็ก ๆ ขึ้นมา ใช้แยกไปปลูกได้, เท่าที่พบด้วยตนเอง คือ : Phal. Amabilis, Phal. Equertris, Phal. Xintermedia, Phal. John Seden, Phal. Mahinhin, มีอีกจำพวกหนึ่งซึ่งพบต้นเล็ก ๆ ตามข้อของก้านช่อดอก, คือ : Phal. Cornu cervi, Phal. Lueddemarriana, Phal. John Seden, Phal. El Tigre, Phal. Lady Rothschild, Phal Hermione, และ Phal. Lueddemannriana X Phal. Speciosa, เป็นต้น มีอยู่ต้นหนึ่งที่พบว่ามีต้นเล็ก ๆ เกิดจากรากของ Phal. Stuartiana ที่เลื้อยเกาะอยู่ตามลำต้นลั่นทม
Dr. Kim. ทดลองปลูกหวายต้นเล็ก ๆ ในอาหารที่มี 2, 4-D ในปริมาณ 0.75 ppm. ปรากฏว่าที่ปลายรากสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่และกลายไปเป็นต้นได้ ดังนั้น จึงได้ทำการทดลองตัดปลายรากอากาศของ Phal, Star of Santa Cruz ยาวประมาณ 1 ซม. นำมาฟอกฆ่าเชื้อแบคทีเรียและราด้วยน้ำยาคลอรอกซ์ 10% เป็นเวลา 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำกลั่นที่นึ่งฆ่าเชื้อแล้วตัดโคนรากออกเล็กน้อย, แล้วปลูกลงในอาหารสูตร Vacin and Went, ซึ่งได้ดัดแปลงโดยการเติมน้ำมะพร้าว 15% และ 2,4-D ในอัตราส่วนต่าง ๆ ดังนี้ : 0, 0.5, 1, 2, 3 และ 4 ppm.
การเลี้ยงรากฟาเลนอปซิสให้เป็นต้น
สูตรอาหาร Vacin and Went มีส่วนประกอบดังนี้
ไทรแคลเซียมฟอสเฟต โปแตสเซียมไนเตรต โมโนโปแตสเซียมแอซิดฟอสเฟต แมกนีเซียมซัลเฟต แอมโมเนียมซัลเฟต เฟริกทาเตรท แมงกานีสซัลเฟต น้ำตาลซูโครส วุ้น เติมน้ำกลั่นจนเป็น pH |
Ca3 (PO4)2 KNO3 KH2 PO4 MgSO4 . 7H2O (NH4)2 SO4 Fe2 (C4H4O6)3 . 2H2O MnSO4 . 2H4O |
0.20 0.525 0.25 0.25 0.50 0.028 0.0075 20.00 9.00 1 4.8-5.0 |
กรัม กรัม กรัม กรัม กรัม กรัม กรัม กรัม กรัม ลิตร |
ผลการทดลองปรากฏว่า รากที่ปลูกในอาหารที่ไม่มี 2,4-D จะเจริญเติบโตยาวออกไป เรื่อย ๆ และพวกที่ปลูกในอาหารที่มี 2,4-D และ 1 ppm รากสามารถสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ ปูดออกมาจากรากเดิม เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้อาจเกิดที่ตำแหน่งต่าง ๆ กันของราก อาจเกิดที่ปลายรากหรือตามด้านข้างถัดจากปลายรากลงมาก็ได้ (ภาพที่ 1) ส่วนรากที่ปลูกในอาหารที่มี 2,4-D 2, 3 และ 4 ppm รากจะตายหมด
อาการเริ่มแรกของรากที่ปลูกในอาหารที่มี 2, 4-D ในปริมาณ 0.5-1 ppm คือที่ปลายรากกลมมนมีสีเขียวจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และสีน้ำตาลในเดือนแรก แล้วต่อมาก็จะเกิดรอยปริแตกออกเนื่องจากเนื้อเยื่อข้างในมีการเจริญเติบโตแบ่งตัวอย่างรวดเร็วดันออกมา เนื้อเยื่อที่เกิดใหม่นี้เป็นก้อนสีเขียวผิวขรุขระ ถ้าทิ้งไว้นาน ๆ ประมาณ 3-4 เดือน ผิวของเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่นี้จะเป็นสีขาวเป็นแห่ง ๆ (ภาพที่ 2) เมื่อตัดเอาเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่ทั้งหมดนี้ไปเลี้ยงในอาหาร Vacin and Went ที่มีน้ำมะพร้าว 15% แต่ไม่มี 2,4-D ก็จะสร้างโปรโตคอร์มขึ้นมา มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ สีเขียว มีรากขนอ่อนเกิดข้าง ๆ (ภาพที่ 3) โปรโตคอร์มแต่ละอันจะสร้างใบและราก กลายเป็นต้น ถ้าทิ้งไว้ในอาหารเดิม (ภาพที่ 4) เมื่อแข็งแรงดีแล้ว ก็นำไปปลูกในเรือนต้นไม้ต่อไป แต่ถ้าต้องการต้นเป็นจำนวนมาก ก็แยกโปรโตรคอร์มออกจากกันและนำไปเลี้ยงในอาหารใหม่ โปรโตคอร์มก็จะเกิดขึ้นอีกเพิ่มจำนวนเรื่อยไป จนได้ปริมาณเท่าที่ต้องการ ก็ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ในอาหารแข็ง โปรโตคอร์มแต่ละอันก็กลายเป็นต้น