กล้วยไม้สกุล PHALAENOPSIS

 

สกุลฟาเลนอปซิส มีอยู่ด้วยกันประมาณ 70 ชนิด จาก ชะวา, สุมาตรา, เอเชีย และ ฟิลิปปินส์ จัดว่าเป็น กล้วยไม้อากาศ ที่สวยงามและน่าปลูกเลี้ยงได้สกุลหนึ่ง ถึงแม้ดอกจะ ไม่ใหญ่นัก โดยเฉพาะในประเทศไทย เราจะเก็บได้ตามหัวเมืองชายทะเล ทั้งฝั่งตะวันตก และ ตะวันออก และที่เขาตะนาวศรี

ในต่างประเทศ สกุลนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Dogwood Orchid และได้มีการนำมาผสมเป็นลูกผสมพันทาง ดอกสีขาวสวยงามขึ้นอีกมาก

ลักษณะและนิสัยของฟาเลนอปซิส ที่น่าสังเกต คือ ไม่มีลูกกล้วย ก้านใบสั้น มีใบเหนียวค่อนข้างใหญ่ยาว ส่วนรากก็ยาวและดกเช่นเดียวกัน มักจะโผล่เลื้อยออกมานอกกระถางยาวกว่า 2 ฟุต เพื่อชอนไชหาอาหารตามธรรมชาติของมัน ทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่ายว่ากล้วยไม้ชนิดนี้ชอบอาหารทางอากาศมาก ส่วนก้านดอกนั้นจะงอกที่แกนใบยาวบ้างสั้นบ้างตามลักษณะพันธุ์แต่ละชนิดของมัน

P. amabilis (ฟ. แอมาบิลิส)

พันธุ์นี้จัดว่าเป็นพันธุ์ใหญ่ ใบยาวถึง 20 นิ้ว ให้ดอกสีขาวล้วน ๆ ขนาดใหญ่ 5 นิ้ว อย่างจะมีสีอื่นปนอยู่บ้างก็เป็นจุดแดงเล็ก ๆ แต้มประปรายที่โคนกลีบ

P. buyssoniana (ฟ. ไบยิสโซเนียนา)

ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อว่า Doritis Pulcherrima var. buyssoniana ซึ่งเป็นลักษณะที่แยกออกจากพันธ์ไบยีสโซเนียนานั่นเอง พันธุ์นี้มีใบเขียวเป็นลายพร้อยยาว 5 ? 8 นิ้ว ดอกขนาด 2 นิ้ว สีดอกเป็นสีแดงเข้มแกมม่วง กลีบนอกอยู่ล่าง 2 กลีบสีขาว

P. esmeralda (ฟ. เอสเมอราลดา)

เป็นพันธุ์ที่แยกออกมาและรู้จักกันในชื่อว่า Doritis pulcherrima ใบสีเขียวยาว 6 นิ้ว ให้ดอกสีชมพูหรือสีกุหลาบ ปากม่วงแก่แฉกข้างเหลืองน้ำตาล

P. Iueddemanniana (ฟ. ลึดเดมันเนียนา)

ใบยาวขนาด 6-10 นิ้ว และซ้อนกันแน่น สีเขียวอ่อนให้ดอกงามขนาด 2 นิ้ว กลีบนอกยาวรีปลายแหลม สีพื้นดอกขาวเป็นส่วนมาก สลับลายสีม่วงหรือแดงเข้มเป็นวงกลม ถ้าเลี้ยงให้ดีก็ติดดอกได้สวยงาม พันธุ์นี้ถิ่นกำเนิดอยู่ทางฟิลิปปินส์

P. mannii (ฟ. แมนนิอิ)

จัดว่าเป็นพันธุ์ที่ให้ดอกงามเหมือนกัน ดอกสีเหลืองทอง แต้มสีน้ำตาล ปากสีเหลืองอ่อนสลับสีม่วง พันธุ์นี้ชอบอากาศเย็นจัด ประมาณ 54-62 องศาฟาเรนไฮต์

P. parishii (ฟ. ปาริสชิอิ)

เป็นพันธุ์เตี้ย ใบแตกต่างกันยาว 2-4 นิ้ว ให้ดอกสีขาวจุดม่วง และกลีบด้านบนมีสีชมพูอ่อน สลับอยู่ด้วย ปากสีเหลือง-น้ำตาลจุดกลาง ถิ่นกำเนิดเดิมทางพม่า

P. rosea (ฟ. โรซิอา)

พันธุ์นี้เล็ก ใบยาว 8 นิ้ว ให้ดอกเล็กมากขนาด 1 นิ้ว เป็นดอกสีชมพูพื้น แต่ดอกดก และน่าเอ็นดู ดอกสีขาว บางชนิดก็เหลือบม่วงชมพู ฤดูออกดอก เดือนเมษายน-มิถุนายน ถิ่นกำเนิดเดิม ฟิลิปปินส์

P. cornu-cervi (ฟ. คอร์นู-เซอร์วิ)

ดอกไม่ค่อยงามนักแต่เป็นกล้วยไม้พันธุ์แปลกดี ทางประเทศไทยเราจะเก็บได้ตามหัวเมืองชายทะเล หรือทางเหนือ ดอกขนาด 1-2 นิ้ว กลีบนอกและกลีบในแบบเดียวกัน ดอกสีเหลืองเป็นพื้นมีเส้นขวางหรือแต้มจุดสีน้ำตาลแดง เหตุที่มีชื่อว่า cornu ? cervi (ซึ่งแปลว่า เขากวาง) เพราะก้านช่อที่ส่งดอกเป็นรูปเขากวาง ทางเชียงใหม่เรียก ?เอื้องตะเข็บ หรือ ?เอื้องจะเข็บ? บางแห่งในกรุงเทพฯ ก็เรียก เอื้องม้าลายเสือ?

P. pulcherrima (ฟ. พัลเชอร์ริมา)

เป็นพันธุ์เล็กแต่งามมาก เข้าใจว่าเป็นพันธุ์เดียวกับ P. esmeralda ซึ่งต่างประเทศรู้จักกันในนามว่า Doritis pulcherrima แต่ในประเทศไทยเราพบที่เขาตะนาวศรี ทางตราดเรียกว่า กล้วยหิน ให้ดอกเล็กมาก ช่อดอกตั้งตรงยาวประมาณ 10-12 นิ้ว กลีบดอกเป็นสีม่วงชมพู ปากสีม่วงแก่แฉกข้างเหลืองน้ำตาล

 

 

Phalaenopsis Iueddemanniana

 

โดยธรรมชาติทั่วไป สกุลฟาเลนอปซิส เจริญเติบโตในที่ร่มและอบอุ่น การปลูกเลี้ยง บนบ้านหรือภายในบริเวณบ้าน บางครั้งก็ต้องประกอบด้วยความชื้นประมาณ 50-70 เปอร์เซ็นต์ เครื่องปลูกส่วนมากนิยมใช้อ๊อสมันด้า หรือเปลือกเฟอร์ขนาดใหญ่ และต้องการให้มีทางระบายน้ำได้ดีด้วย อุณหภูมิตอนค่ำ ไม่ควรต่ำกว่า 54 องศา

อีกข้อหนึ่ง คือการระวังอย่าให้เครื่องปลูกแห้งได้เป็นอันขาด ตามปกติจะต้องใช้ปุ๋ยผสมน้ำรดช่วยด้วยเสมอ ในขณะที่เริ่มจะขยายตัว และหลังจากหยุดการให้ดอกหรือดอกเริ่มเหี่ยวเฉาลงแล้ว จะต้องใช้กรรไกรตัดก้านหรือปุ่มออกด้วย ก้านใหม่จะได้ผลิภายหลัง โดยปกติ ดอกฟาเลน อปซิส เมื่อยู่กับต้นจะทนนานได้ถึง 7 สัปดาห์

 

การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ฟาเลนอปซิส

พอเริ่มเข้าฤดูฝนทั้ง ๆ ที่ลูกไม้ออกจากขวดได้ไม่ถึง 6 เดือน, ต้นที่ใหญ่ที่สุดมีใบยาวเกือบ 4 นิ้ว และทุกต้นโตวันโตคืน ในช่วงฤดูฝนนี้คงให้น้ำแต่ตอนเช้าของวันที่ฝนไม่ตกเวลาเดียว ตอนเย็นงดให้น้ำ รากเริ่มงอกจากกระถางมาเกาะที่กระเช้าและเลื้อยไปตามเนื้อไม้ จะไม่พยายามพุ่งออกนอกกระเช้า แขวนห้อยในอากาศเหมือนพวกสกุลช้าง บางครั้งแม้ว่ารากจะพุ่งออกมาปลายจะค่อยโค้งงอกลับเข้าไปจับกระเช้าอีก แต่เมื่อต้นโตเต็มที่แล้ว รากจึงจะแขวนห้อยอยู่ในอากาศ ต้นที่งามและสมบูรณ์ รากจะงอกยาวออกจนระผิวดิน ที่แปลกก็คือปลายรากที่ระอยู่ที่ดินนี้ไม่เน่า ดูท่าจะเจริญงอกงามเป็นกระจุกดูดอาหารจากผิวดินเสียอีก

อีก 2 ปีต่อมา ลูกกล้วยไม้ทั้งหมดมีใบเฉลี่ยประมาณ 5 ใบ ใบมีขนาดกว้าง, หนา, และอวบ ยาวประมาณ 10 นิ้ว เริ่มแทงช่อออกดอกให้ชมในปลายฤดูฝน ซึ่งเป็นปีที่ 3หลังจากเอาออกจากขวด

จากประสบการณ์ที่ได้พบมา อยากจะขอรวบรวมเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้

    1. ลูกกล้วยไม้ฟาเลนอปซิสในขวด ถ้าต้องการปล่อยไว้จนมีขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อลดอัตราการตายหลังจากเอาออกจากขวดแล้ว ควรจะหว่านเมล็ดห่าง ๆ อย่าให้เบียดเสียดกันจนแน่น ขวดที่เพาะควรจะมีปากค่อนข้างกว้างกว่าขวดที่ใช้เพาะกล้วยไม้สกุลอื่น เช่น แวนดาหรือหวาย เพราะใบของกล้วยไม้ฟาเลนอปซิสกว้างและเปราะ เวลานำออกจากขวดเพาะถ้าไม่ระมัดระวัง ใบจะหัก ช้ำ เป็นเหตุให้อัตราร้อยละของการเน่าตายสูง ขวดเพาะที่ทีปากกว้างจะช่วยไม่ให้ลูกไม้ช้ำมาก
    2. การแขวนกระเช้า หรือในกรณีที่มีการย้ายที่แขวน ต้องจัดทิศทางของยอดต้นกล้วยไม้ให้หันไปในทางทิศทางเดิมเสมอ โดยปกติ ยอดมักจะเอนไปทิศตะวันออก หรือทางที่มีแสงเข้ามาก ช่อดอกก็เหมือนกัน จะหันชี้ในทิศนั้นด้วย ไม้ที่ต้องการแสดงการจัดระเบียบดอกบนช่อ ควรจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ตอนดอกแรกเริ่มบาน น้ำหนักของดอกบานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ก้านช่อเปลี่ยนมุมที่ทำกับแนวราบ ทำให้ดอกที่บานก่อนหันเปะปะผิดทิศทาง หมดความสวยงาม
    3. ฤดูออกดอก เริ่มตั้งแต่ราวเดือนสิงหาคม บานเรื่อยไปจนประมาณเดือนกุมภาพันธ์ เวลานับจากเริ่มเห็นช่อดอกเป็นตุ่ม จนกระทั่งดอกแรกบานประมาณ 100-120 วัน ช่อดอกบางช่ออาจจะมีช่อแขนงได้อีก แต่ขนาดของดอกที่ช่อแขนงนี้จะเล็กลง ก้านช่อถ้าไม่ตัดทิ้งเมื่อดอกในช่อโรย จะมีตาดอกงอกออกมาเรื่อย ดอกในตอนหลังนี้จะเล็กไม่สมบูรณ์ ควรที่จะตัดก้านช่อทิ้งเสีย ปล่อยให้แทงช่อดอกใหม่จะได้ดอกที่มีคุณภาพดีกว่า
    4. น้ำที่ใช้รด ไม่เลือกชนิด, น้ำประปาที่สูบจากบ่อบาดาล พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเจริญเติบโตของฟาเลนอปซิสเลย ในที่ที่ปลูกเลี้ยงแวนดาไม่ได้ ควรจะลองทดลองปลูกกล้วยไม้ชนิดนี้ดู
    5. ปุ๋ย เคยใช้แต่ชนิดที่ทำเอง คือ ปัสสาวะหมัก, ไม่เคยใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เพราะเห็นว่าไม่ต้องซื้อหา ถ้าเลี้ยงไว้เป็นจำนวนมากอาจจะมีปัญหา เพราะกลั่นไม่ทัน ปกติหมักไว้ 2-3 วัน จึงนำมาผสมน้ำ ส่วนผสม 1 กระป๋องนมต่อน้ำ 20 ลิตร ในตอนรดมีกลิ่นอยู่สักหน่อย แต่พอถูกแดดกลิ่นจะหายไปเอง การให้ปุ๋ยให้ทุกอาทิตย์ ถ้าปุ๋ยอ่อนจะให้บ่อย ๆ ขึ้นก็ได้ วันใดที่ให้ปุ๋ยวันนั้นก็งดให้น้ำ
    6. โรค เท่าที่พบ มีอยู่ 2 ชนิด ที่ทำความเสียหายให้มาก ชนิดแรกคือ เพลี้ยแดง ถ้ามีมากฟาเลนอปซิสจะทิ้งใบหมดต้นเลย หากรากยัดสด สามารถที่จะแตกหน่อขึ้นมาใหม่ได้ แต่กว่าจะได้ชมดอกอีกก็ราวปีครึ่ง ดังนั้น เพลี้ยแดงนี้จะต้องระวังให้มาก ชนิดที่สองคือ เพลี้ยไฟ ชอบกัดกินขอบดอก ทำให้ดอกเสียหาย หมดความงาม

ยาที่ใช้คือ เซฟวิน 85 และอิรีซีส ฉีดทุก ๆ 2 อาทิตย์ ควรระวังฉีดให้ทั่วต้น โดยเฉพาะใต้ใบ ฟาเลนอปซิสมีใบใหญ่ ซ้อนกัน จึงเป็นจุดอับที่ยาเข้าไปถึง กลายเป็นแหล่งเพาะโรค ต้นใดที่เกิดมีใบเหลืองโดยที่ไม่ใช่ใบล่างสุดซึ่งจะต้องร่วงหล่นไปก่อนตามธรรมชาติ ให้รีบตรวจดูบริเวณใต้ใบทันที มักจะมีเพลี้ยแดงจับเกาะอยู่

นอกจากนั้น ส่วนใดของใบที่ถูกแสงแดดส่องถูกอยู่ที่เดียวเป็นเวลานานมักจะเป็นรอยไหม้ แล้วก็เน่าขยายโตขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดจะเหลืองทั่วไปและร่วงไป จึงต้องคอยระวังระแนงบังแดดบนหนังคาเรือนอย่าให้ชำรุดจนเป็นช่องโต

ยาที่ผสมกับน้ำในอัตราเข้มข้น อาจทำอันตรายที่ใบอ่อนที่ยอดให้หงิกงอได้เหมือนกัน เวลาฉีดยาจึงควรจะใช้หัวฉีดอย่างชนิดฝอยละเอียด และฉีดในเวลาเช้ามืดหรือตอนเย็น

 

 

 

เครื่องปลูกกล้วยไม้

 

เครื่องปลูกกล้วยไม้มีมากมายหลายชนิด และมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้ปลูกกล้วยไม้ต่าง ๆ กัน เครื่องปลูกกล้วยไม้ที่จัดว่ามีคุณสมบัติต่อการนำไปใช้ปลูกกล้วยไม้ ควรมี คุณลักษณะดังนี้ คือ

    1. ทนทานดี ไม่ผุเน่าเปื่อยง่าย
    2. ไม่เป็นพิษแก่รากกล้วยไม้
    3. เมื่อเกิดการผุพังเน่าเปื่อยสลายตัวไปแล้วจะกลายเป็นอาหารกล้วยไม้ได้
    4. เก็บความชุ่มชื่นได้ดีสม่ำเสมอพอเหมาะ คือ ไม่แฉะหรือแห้งเกินไป
    5. มีปริมาณมาก หาได้ง่าย และราคาไม่แพง

เครื่องปลูกกล้วยไม้ที่นักเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทยนิยมใช้ปลูกกล้วยไม้ในปัจจุบันอาจแบ่งออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ ๆ ตามลักษณะระบบรากกล้วยไม้ คือ

    1. เครื่องปลูกสำหรับปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศและรากกึ่งอากาศ
    2. เครื่องปลูกชนิดต่าง ๆ ที่นิยมใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศและรากกึ่งอากาศ มีดังต่อไปนี้คือ

      1. อ๊อสมันด้า (Osmunda fibre)

      อ๊อสมันด้า (Osmunda fibre) เป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่ดีที่สุด เพราะคุณสมบัติเหมือนหรือใกล้เคียงกับคุณลักษณะเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่เหมาะสมและดีที่สุด ดังกล่าวมาแล้ว ข้างต้น เช่น ทนทานดี เก็บความชุ่มชื้นได้พอเหมาะ ไม่เปียกแฉะหรือแห้งเกินไป ไม่เป็นพิษ และเมื่อผุพังสลายตัวจะเป็นอาหารของกล้วยไม้เหล่านี้ เป็นต้น แต่อ๊อสมันด้าก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือ มีราคาค่อนข้างแพงกว่าเครื่องปลูกชนิดอื่น ๆ อ๊อสมันด้าตามปกติใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) กล้วยไม้สกุลแคทลียา (Cattleya) ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้วยไม้ที่มีรากระบบกึ่งอากาศที่มีคุณลักษณะดีเด่น เช่น ราคาแพง ต้องทะนุถนอม ส่วนใหญ่มักจะปลูกด้วยอ๊อสมันด้า

       

      2. ถ่าน (Charcoal)

      ถ่านในที่นี้ หมายถึง ถ่านไม้ที่ใช้ในการหุงต้มอาหารนั้นเอง ถ่านเป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ที่ดีชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีปริมาณมาก หาง่าย ราคาไม่แพง คงทนถาวร ไม่เน่าเปื่อยผุพังง่ายและดูดอมน้ำได้ดีพอเหมาะ ไม่ชื้นแฉะเกินไปแล้ว ยังช่วยดูดกลิ่นที่เน่าเสีย และ ทำให้อากาศบริสุทธิ์อีกด้วย อย่างไรก็ตามถ่านยังมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือมักมีรา ในการใช้ถ่านเป็นเครื่องปลูกกล้วยไม้ถ้าเป็นกล้วยไม้ที่มีระบบแบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) กล้วยไม้สกุลแคทลียา (Cattleya) ควรใช้ถ่านป่นเป็นก้อนเล็ก ๆ ผสมกับอิฐหัก หรือใช้อิฐหักรองก้นกระถางประมาณ ½ กระถาง แล้วใช้ถ่านป่นใส่ทับข้างบน จนเต็มหรือเกือบเต็มกระถางจากนั้นจึงเอากล้วยไม้ปลูกโดยวางทับไว้บนถ่านป่นอีกทีหนึ่ง สำหรับถ่านที่จะใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีรากระบบแบบรากอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda) สกุลช้าง (Rhynchostylis) สกุลเข็ม (Ascocentrum) สกลุกุหลาบ (Aerides) ฯลฯ ถ้าเป็นกล้วยไม้ขนาดเล็กหรือยังเป็นลูกกล้วยไม้อยู่ เช่น มีขนาดสูงประมาณ 1 ½ - 3 นิ้ว ก็ควรใส่ถ่านก้อนเล็ก ๆ หรือถ่านป่นไว้บ้างพอสมควร แต่ถ้าเป็นกล้วยไม้ที่มีขนาดโตแล้ว ควรใส่ถ่านก้อนโต ๆ ไว้ประมาณ 5 ? 10 ก้อน ก็ได้ เพื่อช่วยอุ้มความชุ่มชื้นไว้ให้กล้วยไม้ และในการที่ใส่ถ่านก้อนโต ๆ หรือจำนวนเล็กน้อยในการปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากอากาศก็เพื่อต้องการให้บริเวณภายในกระถางมีช่องว่างมาก ๆ และโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ซึ่งเหมาะสมแก่ความต้องการหรือความเจริญเติบโตของกล้วยไม้ที่มีรากระบบนี้

      3. อิฐหักและกระถางดินเผาแตก

      อิฐหัก อิฐดินเผา และกระถางดินเผาแตก ตามปกติใช้เป็นเครื่องปลูกโดยใช้รองก้นกระถางสำหัรบปลูกกล้วยไม้ที่มีรากระบบกึ่งอากาศ ซึ่งมีรากเฟิร์น หรืออ๊อสมันด้า หรือกาบมะพร้าว หรือถ่านป่น หรือถ่านป่นผสมอิฐหัก อย่างใดอย่างหนึ่งอัดหรือโรยไว้ข้างบน ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้ด้านล่างของกระถางหรือภาชนะปลูกโปร่ง อากาศถ่ายเทสะอาด และเป็นการช่วยในการระบายน้ำ ในกระถางน้ำให้ดีขึ้นอีกด้วย

      4. ทรายหยาบและหินขัดหรือหินเกล็ด

      ในการปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบกึ่งอากาศบางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกสกุลหวาย (Dendrobium) ที่ปลูกไว้เพื่อตัดดอกเป็นสินค้า เช่น มาดาม หรือมาดามปอมปาดัวร์ (Dendrobium Pompadour) ได้มีนักเลี้ยงกล้วยไม้บางท่านใช้ทรายหยาบ และหินขัดหรือหินเกล็ด (หินขัดหรือหินเกล็ดตามปกติใช้ในการก่อสร้างโดยใช้โรยบนผิวพื้นคอนกรีต แล้วใช้เครื่องขัดจนเรียบซึ่งเรียกว่า ?พื้นหินขัด?) ที่ได้ล้างสะอาดแล้วเป็นเครื่องปลูก โดยด้านล่างหรือก้นกระถางใส่อิฐหัก หรือถ่านป่นไว้ ส่วนด้านบนใช้ทรายหยาบโรยไว้หนาประมาณ ½ ถึง 1 นิ้ว แล้วใช้หินขัดหรือหินเกล็ดโรยทับทรายหนา

    3. เครื่องปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบกึ่งดิน

เครื่องปลูกสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบกึ่งดิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกล้วยไม้ดิน เช่น กล้วยไม้สกุล Spathoglotis เป็นต้น ตามปกติโดยทั่ว ๆ ไปแล้วใช้พวกอินทรีย์วัตถุที่เน่าเปื่อยผุพังและร่วนซุยเป็น Humus แล้วแต่เพียงอย่างเดียวหรืออาจใช้ผสมกับทรายและปุ๋ยคอกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างบ้างเล็กน้อยก็ได้ สำหรับก้นกระถางนั้นควรใช้อิฐหักใส่รองไว้ประมาณ 1/3 กระถาง เพื่อเป็นการช่วยให้ดีมีช่องอากาศและช่วยในการระบายน้ำได้ดีขึ้น

 

 

 

 

 

 

ภาชนะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้

 

ภาชนะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่นิยมกันในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็นพวกใหญ่ ๆ คือ

    1. กระถางดินเผา
    2. 1. กระถางหมู่หรือ กระถางผอท (Community pot)

      กระถางหมู่หรือกระถางผอทนี้ เป็นกระถางดินเผาสำหรับใช้ปลูกลูกกล้วยไม้ที่เอาออกจากขวดวุ้นใหม่ ๆ ซึ่งยังมีขนาดเล็กโดยใช้รากเฟร์น หรืออ๊อสมันด้าสับเป็นเส้นสั้น ๆ เป็นเครื่องปลูก กระถางหมู่หรือกระถางผอมที่ใช้ปลูกกล้วยไม้ขายปกติมีขนาด 3 ½ นิ้ว (วัดความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลางปากกระถาง) เจาะรูที่ก้นกระถางเพื่อเป็นการระบายน้ำ 1 รู กรุถางผอทใช้ปลูกกล้วยไม้ได้ประมาณ 30 ? 50 ต้น อย่างไรก็ตามในการปลูกกล้วยไม้ในกระถางผอทนี้ ผู้เพาะเลี้ยงกล้วยไม้ขายบางคนอาจใช้กระถางแบบอื่นแทน เช่น กระถางชนิดมีรูรอบตัวทรงเตี้ย ซึ่งมีขนาดโตเท่าหรือใหญ่กว่ากระถางผอทก็ได้ หรือถ้าเป็นการนำลูกกล้วยไม้อกจากขวดวุ้นเพื่อปลูกเลี้ยงเองอาจใช้กะบะไม้หรือกะบะพลาสติกขนาดใหญ่ปลูกกล้วยไม้ แทนกระถางผอทก็ได้

      2. กระถางเจี๊ยบหรือกระถาง 1 นิ้ว

      กระถางเจี๊ยบหรือกระถาง 1 นิ้ว นี้เป็นกระถางทรงสูง ขอบปากกระถางใหญ่ขนาดโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางปากกระถาง 1 นิ้ว มีรูที่ก้นกระถางสำหรับระบายน้ำ 1 รูป กระถุางเจี๊ยบใช้สำหรับปลูกกล้วยไม้ทั้งที่มีระบบรากแบบรากอากาศและรากแบบกึ่งอากาศที่นำออกจากขวดวุ้นใหม่ ๆ ซึ่งมีขนาดโตแล้ว คือสูงประมาณ ½ - 1 นิ้ว (ส่วนลูกกล้วยไม้ที่มีขนาดเล็ก ๆ จะนำไปปลูกในกระถางหมู่หรือกระถางผอท) หรือใช้สำหรับปลูกกล้วยไม้ที่แยกออกจากกระถางหมู่ ซึ่งปกติจะมีขนาดโตสูงประมาณ ½ - 1 ½ นิ้ว โดยมีรากเฟิร์นหรืออ๊อสมันด้าเป็นเครื่องปลูก

      3. กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัว

      กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวนี้เหมาะที่จะนำไปใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศที่โตแล้ว โดยย้ายลูกกล้วยที่ได้ปลูกเลี้ยงไว้ในกระถางเจี๊ยบมาปลูกไว้ในกระถางชนิดนี้ การที่เจาระรูกระถางไว้มากรอบตัวก็เพื่อต้องการแสงสว่าง อากาศ และน้ำ ถ่ายเทได้มากและสะดวก นอกจากนี้รูต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบกระถางยังเป็นช่องทางให้รากกล้วยไม้ระบบรากอากาศแทงยื่นโผล่ออกจากกระถางไปสู่อากาศได้สะดวกอันเป็นปกตินิสัยของกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบนี้ กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวหรือเจาะรูรอบตัวมีรูปลักษณะ หรือรูปทรงสัณฐาน แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ

      3.1 กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวแบบทรงเตี้ย

      กระถางชนิดนี้จะมีรูปทรงแบนหรือเตี้ย ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศที่มีรูปทรงของลำต้นไม่สูงนัก หรือเตี้ย เช่น กล้วยไม้สกุลเข็ม (Ascocentrum) สกุลช้าง (Rhynchostylis) สกุล Ascocenda (ลูกผสมระหว่างสกุล Vanda กับสกุล Ascocentrum) หรือกล้วยไม้พวกแวนด้านในแบน (Satulate or strap-leaf Vanda) เช่น Vanda coerulea, Vanda sederiana, Vanda Rothschildiana, Vanda Bill Suttor, Vanda Onomea, Vanda Joan Riothsand เป็นต้น กระถางชนิดนี้ตามปกติจะมีขนาดตั้งแต่ 2 ½ - 8 นิ้ว

      3.2 กระถางดินเผาชนิดมีรูรอบตัวแบบทรงสูง

      กระถางชนิดนี้โดยทั่ว ๆ ไป แล้ว เหมาะสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ซึ่งมีระบบรากแบบรากอากาศมีลำต้นค่อนข้างสูงหรือสูงปานกลาง เช่น พวกแวนด้าใบร่อง (Semi-Terete Vanda) และแอสโคเซนด้าใบร่อง อาทิเช่น Vanda T M A, Vanda Josephine Van Brero, Vanda Tan Chin Tuan, Vanda Blue Hoon, Ascocenda Ooi Leng Sun ตามปกติกระถางชนิดนี้จะมีขนาดตั้งแต่ 6 ? 12 นิ้ว

      4. กระถางดินเผาชนิดมีรูน้อยหรือเจาะรูน้อย

      กระถางชนิดนี้จัดอยู่ในลักษณะกระถางดินเผาทรงสูงมีขอบปากกระถางใหญ่และหนา ตัวกระถางเจาะรูไว้ประมาณ 4 ? 12 รูป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของกระถางคือกระถางใหญ่จะมีรูมากกว่ากระถางขนาดเล็ก นอกจากจะมีรูที่ตัวกระถางแล้วยังมีรูที่ก้นกระถางอีก 1 รู กระถางชนิดนี้เหมาะที่จะนำไปใช้สำหรับปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) และสกุลแคทลียา (Cattleya) เป็นต้น ทั้งนี้เพราะรากกล้วยไม้พวกนี้ชอบหนีแสง คือฝังตัวลงในเครื่องปลูก ดังนั้นกระถางจึงต้องทำรูให้มีจำนวนน้อยรูเพื่อให้ทึบ ส่วนที่ต้องทำรูหรือเจาะรูไว้นั้นก็เพื่อการระบายน้ำและเป็นช่องระบายอากาศให้เข้าออกได้สะดวก กระถางชนิดนี้ปกติจะมีขนาดตั้งแต่ 2 ½ - 6 นิ้ว

       

      5. กระถางดินเผาชนิดมีรูที่ก้นกระถางแห่งเดียว

      กระถางชนิดนี้เป็นกระถางชนิดเดียวกับที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่ว ๆ ไป คือ มีรูระบายน้ำที่ก้นกระถาง 1 รู กระถางดินเผาชนิดนี้มีรูที่ก้นกระถางแห่งเดียวนี้ ใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากกึ่งดินซึ่งเรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า กล้วยไม้ดิน เช่น กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี (Paphiopedilum) สกุลเอื้องพร้าว (Phaius) สกุลคูลู (Habenaria) และสกุลสปาโธกล้อททึส (Spathoglottis) เป็นต้น กระถางดินเผาชนิดมีรูที่ก้นกระถางแห่งเดียวสำหรับปลูกกล้วยไม้ ที่มีระบบรากกึ่งดินหรือกล้วยไม้คืนนี้ปกติใช้ขนาด 4 ? 10 นิ้ว

    3. กระเช้าไม้

กะเช้าไม้ส่วนมากทำด้วยไม้สัก เนื่องจากทำและตบแต่งได้ง่ายและมั่นคงถาวรไม่ผุง่าย กระเช้าไม้โดยทั่ว ๆ ไป นิยมทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีขนาดต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ 4 x 4 นิ้ว จนถึง 10 x 10 นิ้ว กระเช้าไม้เป็นภาชนะปลูกกล้วยไม้ที่โปร่งมีช่องว่าง ? รอบตัว ฉะนั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ปลูกกล้วยไม้ที่มีระบบรากแบบรากอากาศ ที่มีลักษณะรูปทรงของลำต้นไม่สูงนัก หรือเตี้ย เช่น กล้วยไม้สกุลช้าง (Rhynchostylis) สกุลกุหลาบ (Aerides) สกุลเข็ม (Asocentrum) สกุล Ascocenda (สกุล Ascocenda เกิดขึ้นจากกล้วยไม้สกุล Vanda ผสมกับกล้วยไม้สกุล Ascocentrum) และกล้วยไม้พวกแวนด้าใบแบน (Spatulate หรือ Strap-leaf Vanda) เช่น Vanda coerulea, Vanda sarderiana, Vanda Diane Ogawa, Vanda Blue Feeling, Vanda Rothschildiana, Vanda James Toogood, Vanda Jenie Hashimoto เหล่านี้เป็นต้น

 

 

 

 

การขยายพันธุ์กล้วยไม้ฟาเลนอปซิส

การขยายพันธุ์กล้วยไม้อาจจำแนกออกได้เป็น 3 วิธีใหญ่ ๆ คือ

1. การขยายพันธุ์กล้วยไม้โดยวิธีตัดแยกหน่อและลำ หรือต้นจากต้นหรือกอเดิม (Vegetative Propagation)

การขยายพันธุ์กล้วยไม้โดยวิธีตัดแยกหน่อและลำต้นออกจากต้นหรือกอเดิมนี้อาจจำแนกได้เป็น 3 วิธี ดังต่อไปนี้

    1. วิธีตัดยอด (Top ? cutting) การขยายพันธุ์กล้วยไม้โดยวิธีตัดยอดนี้ตามปกติใช้กับกล้วยไม้ที่มีความเจริญเติบโตแบบ Monopodial เช่น กล้วยไม้ที่อยู่ในสกุล (Genus)แวนด้า (Vanda) สกุลช้าง (\Rhynohostylis) สกุลเข็ม (Ascocentrum) สกุลแมงปอ (Arachnis) สกุลกุหลาบ (Aerides) สกุลเสือโคร่ง (Staurochilus) และสกุลรีแนนเธอรา (Renanthera) ฯลฯ ในการตัดยอดควรปล่อยให้กล้วยไม้เจริญเติบโตงอกงาม ยาว สูง พอสมควร และมีรากติดอยู่กับส่วนยอดที่จะตัดอย่างน้อย 2-3 รากขึ้นไป ถ้ามีรากติดอยู่กับส่วนยอดมากเท่าใดก็ยิ่งดี เพราะเมื่อนำยอดไปปลูกจะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงและตั้งตัวได้เร็วเท่านั้น การติดยอดจะให้ตัดยอดยาวเท่าใด และจะเหลือส่วนตอไว้ยาวหรือสูงเท่าใดก็ได้ แต่ควรพิจารณาให้พอเหมาะพอดี ทั้งนี้ ให้อาศัยจำนวนรากที่จะติดอยู่กับส่วนที่ตัด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงความยาวหรือความสูงของตอที่เหลือเป็นหลักไว้ด้วย คือถ้าเหลือตอไว้สั้นเกินไปอาจไม่มีตา หรือมีตาจำนวนน้อยเพียง 1-2 ตา ซึ่งอาจเป็นตาที่ไม่สมบูรณ์พอที่จะแตกหน่อเป็นต้นใหม่ได้ ในการตัดยอดควรใช้มีดหรือกรรไกรคม ๆ ตัดเพื่อไม่ให้บาดแผลช้าและเมื่อตัดแล้วให้ใช้ปูน (ปูนที่ใช้กินกับหมาก) ทาที่บาดแผลไว้เพื่อป้องกันเชื่อโรคเข้าทางบาดแผล ยอดกล้วยไม้ที่ทำไปปลูกใหม่ ๆ ควรให้อยู่ในที่ร่ม หรือในที่มีแสงแดดน้อยกว่าปกติ จนกว่าจะตั้งตัวได้แล้วจึงค่อยนำไปไว้ในที่ที่มีสภาวะปกติซึ่งจะกินเวลานานประมาณ 1-2 เดือน
    2. วิธีแยกลำหรือต้นกล้วยไม้จากกอเดิม
    3. ลำต้นของกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) สกุล Catteya และสกุลอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึง กันกับสกุล cattleya เช่น สกุล Laelia, Brassavola Brassocattleya และสกุล Sophrolaelia เป็นต้น ซึ่งเป็นกล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโตแบบ Sympodial

       

    4. วิธีตัดแยกหน่อหรือตะเกียงกล้วยไม้จากต้นเดิม

ดังกล่าวมาแล้วในบทต้น ๆ ว่า กล้วยไม้ประเภทที่มีการเจริญเติบโตแบบ Monopodial นั้น มีการเจริญเติบโตในทางส่วนยอด คือยอดจะยาวสูงขึ้นไป เรื่อย ๆ และถ้าต้นกล้วยไม้นั้นเจริญแข็งแรงสมบูรณ์ดีก็อาจมีการแตกหน่อจากตาที่อยู่ข้างลำต้น หน่อกล้วยไม้ที่เกิดขึ้นใหม่นี้เรียกชื่อได้อีกอย่างหนึ่งว่า ?ตะเกียง? หน่อหรือตะเกียงสามารถที่จะตัดแยกนำไปปลูกใหม่ได้ ฉะนั้นการแตกแยกหน่อ หรือตะเกียงกล้วยไม้จากต้นแม่หรือต้นเดิม จึงเป็นวิธีการขยายพันธุ์กล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโตแบบ Monopodial อีกวิธีหนึ่ง หน่อหรือตะเกียงที่จะตัดแยกไปปลูกใหม่ควรปล่อยให้เจริญเติบโตพอสมควร

การเพาะเมล็ดกล้วยไม้

1. เครื่องมือที่ใช้ในการเพาะเมล็ด

เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ คือ

    1. Autoclave
    2. ตู้เพาะซึ่งมีหลอดไฟฟ้า Ultra Violet ติดอยู่ภายในตู้เพาะ
    3. ตะเกียงแอลกอฮอล์
    4. ไม้ขีดไฟ
    5. ขวดขนาดจุ 15 ? 25 ซีซี พร้อมหลอดยาหยอดตา (cropper)
    6. กล้อง Hand lens ซึ่งมีกำลังขยายประมาณ 10 ถึง 25 เท่า
    7. สำลี
    8. ปากคีบ (Forcep)
    9. แก้วตวง ขนาด 50, 100, 200 และ 1,000 ซีซี
    10. หม้อเคลือบหรือหม้ออลูมิเนียมสำหรับเตรียมวุ้น
    11. กรวยแก้วพร้อมขาตั้งสำหรับใช้กรอกวุ้นลงขวด
    12. กระบวยอลูมิเนียมสำหรับตักวุ้นกรอกลงขวด
    13. ใบมีดโกนสำหรับผ่าผักกล้วยไม้ และใช้งานอื่น ๆ
    14. เครื่องชั่งหรือตวงชั่งชนิดละเอียดสำหรับใช้ชั่งสารเคมี
    15. จุกยางซึ่งตรงกลางได้เจาะรูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ? 5 มม.
    16. เครื่องหาความเป็นกรดเป็นด่าง (pH meter) แบบเทียบสี
    17. ดินสอเขียนแก้ว
    18. ถังใส่น้ำกลั่นหรือน้ำฝน ประมาณ 10 ? 20 ลิตร
    19. เตาแก๊ส หรือเตาพู่ที่ใช้น้ำมันก๊าดเป็นเชื้อเพลิงสำหรับใช้ทำวุ้น
    20. ชั้นวางขวดเพาะเมล็ดกล้วยไม้
    21. แปลงล้างขวด
    22. ขวดใส่วุ้นเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ปกติเป็นขวดแก้วใสสี่เหลี่ยม มีความจุประมาณ 750 ซีซี เมื่อตั้งขวดขึ้นจะมีขนาด (กว้าง x ยาว x สูง) ประมาณ 7 x 7 x 26 ซม.

2. วุ้นสำหรับเพาะเมล็ดกล้วยไม้ (culture media)

วุ้นสำหรับใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้มีหลายสูตร วุ้นบางสูตรสามารถนำไปเพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้หลายสกุล แต่วุ้นบางสูตรเหมาะสมที่จะนำไปใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้สกุลหนึ่งสกุลใดเพียงสกุลเดียวเท่านั้น สูตรวุ้นที่สำคัญและนิยมใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้ในประเทศไทย ปัจจุบันต่อไปนี้เป็นสูตรที่วุ้นที่ได้รับการปรับปรุงจากสูตรวุ้นเดิม ทั้งนี้เพื่อให้การเพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้ผลดีและสะดวกต่อการทำวุ้นสูตรวุ้นนี้ ใช้สำหรับทำวุ้น 1 ลิตร และถ้าหากต้องการทำวุ้นหลายลิตร ก็ให้เพิ่มสารต่าง ๆ มากขึ้นตามส่วน

2.1 สูตรวุ้น Burgeff Eg 1

สูตรวุ้น Burgeff Eg 1 สามารถนำไปใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้สกุลต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มีรากระบบรากอากาศและรากระบบรากกึ่งอากาศ เช่น กล้วยไม้สกุล Vanda, Rhynchostylis, Aeride, Ascocenda, Dendrobium, Cattleya ฯลฯ สูตรวุว้น Brugeff Eg 1 มีดังนี้

    1. น้ำ (น้ำกลั่นหรือน้ำฝน) = 800 c.c.
    2. น้ำมะพร้าวอ่อน = 200 c.c.
    3. Calcium nitrate Ca (No3) 2 . 4H2O = 1.00 g.
    4. Ammonium sulphate (NH4) 2 SO4 = 0.25 g.
    5. Magnesium sulphate MgSo4 . 7H2O = 0.02 g.
    6. Ferrous sulphate FeSO4 . 7H2O = 0.02 g.
    7. Monobasic potassium phosphate KH2PO4 = 0.25 g.
    8. Dibasic potassium phosphate K2HPO4 = 0.25 g.
    9. วุ้น (วุ้นสำหรับทำขนม) = 12 g.
    10. น้ำตาล (น้ำตาลทรายขาว) = 20.00 g.

hydroxide NaOH สำหรับใช้ปรับความเป็นกรดเป็นด่าง หรือ pH ของวุ้น เพื่อให้วุ้นได้ pH5. ตามปกติสูตรวุ้น Burgeff Eg 1 เดิมแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วน ก ตั้งแต่สารหมายเลข 2.1.3 ? 2.1.6 พร้อมน้ำกลั่นหรอน้ำฝน 400 ซีซี และน้ำมะพร้าว 100 ซีซี ส่วน ข ตั้งแต่สารหมายเลข 2.1.7 ? 2.1.8 พร้อมด้วยน้ำฝนหรือน้ำกลั่น 400 ซีซี และน้ำมะพร้าวอ่อน 100 ซีซี เวลาผสมส่วน ก และ ข แยกกัน แล้วจึงเทส่วน ข ผสมลงไปในส่วน ก จากนั้นจึงเอาวุ้นใส่ แล้วยกขึ้นตั้งไฟ เมื่อวันละลายแล้วจึงเทน้ำตาลใส่ แต่เนื่องจากในทางปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องแยกผสมส่วน ก และ ข คือสามารถรวมกันได้ โดยใส่สารลงในหม้อเรียงตามลำดับ ดังจะได้กล่าวต่อไป ฉะนั้น ในที่นี้จึงไม่ได้แยกสูตรวุ้นออกเป็นส่วน ก และ ส่วน ข ไว้

 

3. การทำ Stock solution

ในการใช้สารเคมีต่าง ๆ ทำวุ้นสำหรับใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้นั้น เนื่องจากใช้เป็นจำนวน หรือปริมาณน้อยมาก จึงเป็นการยากลำบากและอาจมีการผิดพลาดได้ง่ายมาก ในกรที่จะช่วยให้ได้น้ำหนักตามสูตรวุ้นที่ต้องการแม้ว่าจะใช้เครื่องมือที่มีความไวและละเอียดมากเป็นพิเศษก็ตาม ดังนั้น เพื่อความสะอาดในการใช้สารเคมีต่าง ๆ ทำวุ้น นักเพาะเลี้ยงกล้วยไม้จึงนิยมทำสารเคมีต่าง ๆ ให้เป็นน้ำยา (Solution) เสียก่อน โดยทำให้น้ำยา (Solution) ของสารเคมีแต่ละชนิด จำนวน 20 ซีซี มีปริมาณสารเคมีชนิดนั้นเท่ากับที่กำหนดไว้ในสูตรวุ้น เช่น น้ำยา (solution) ของ Calcium nitrate 20 ซีซี มี ปริมาณ Calcium nitrate อยู่ 1.00 กรัม หรือน้ำยา (Solution) ของ Ammonium Sulphate 20 ซีซี มีปริมาณของ Ammonium sulfate 0.25 กรัม หรือน้ำยา (Solution) ของ Magnesium sulphate 20 ซีซี มีปริมาณ Magnesium sulphate 0.02 กรัม ดังนี้เป็นต้น

ในการทำน้ำยา (Solution) ของสารเคมีต่าง ๆ แต่ละสาร จำนวน 20 ซีซี ให้มีปริมาณสารเคมีชนิดนั้น ๆ เท่ากับที่กำหนดไว้ในสูตรวุ้นมีวิธีการทำดังนี้

ตัวอย่างที่ 1

สมมุติว่าจะทำน้ำยา (Solution) ของ Calcium nitrate จำนวน 20 ซีซี ให้มีปริมาณ Calcium nitrate อยู่ 1.00 กรัม

วิธีทำ

น้ำยา (Solution) 20 ซีซี มี Calcium nitrate = 1 กรัม

? 1,000 ซีซี ? =

= 50 กรัม

ทำการชั่ง Calcium nitrate จำนวน 50 กรัม ใส่ลงในขวดแก้ว ปากกว้าง หรือ Beaker แล้วเทน้ำกลั่นลงไปจำนวน 1,000 ซีซี หรือ 1 ลิตร แล้วให้แท่งแก้วคน จนกระทั่ง Calcium nitrate ละลายหมดก็จะได้น้ำยา (Solution) ของ Calcium nitrate ตามต้องการ คือ น้ำยา (Solution) Calcium nitrate 20 ซีซี มีสาร Calcium nitrate 1.00 กรัม จากนั้นเอาน้ำยาใส่ขวดปิดยาให้มิดชิดเก็บไว้ใช้ทำวุ้นต่อไป

ในการทำน้ำยา (Solution) สารเคมีอื่น ๆ ตามสูตรวุ้นก็ให้ปฏิบัติในทำนองเดียวกันดังกล่าวมาแล้ว

 

4. วิธีทำวุ้น

(ตัวอย่างวิธีทำวุ้น จำนวน 1 ลิตร) วิธีทำวุ้นให้ดำเนินก่อนหลังตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้

    1. เอาน้ำกลั่นหรือน้ำฝนใส่ลงในหม้อเคลือบหรือหม้ออลูมิเนียม ตามสูตรจำนวน 800 ซีซี
    2. เอาน้ำมะพร้าวอ่อนเทใส่ลงไปตามสูตร จำนวน 200 ซีซี แล้วใช้แท่งแก้วกวนหรือคนให้เข้ากัน
    3. เอาน้ำยา (Solution) ของสารเคมีต่าง ๆ จำนวนชนิดละ 20 ซีซี ซึ่งจะมีปริมาณสารเคมีชนิดนั้น ๆ เท่ากับที่กำหนดไว้ตามสูตรเทใส่ลงไปโดยเรียงตามลำดับ ที่ให้ไว้ในสูตรวุ้น ในการเทน้ำยา (Solution) ของสารเคมีเรียงตามลำดับก่อนหลังที่ให้ไว้ตามสูตรวุ้นนี้เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุด เพราะถ้าไม่ใส่เรียงตามลำดับดังกล่าว เช่น การทำวุ้นตามสูตร Burgeff Eg 1 ถ้าใส่น้ำยาของ Calcium sulphate ซึ่งเป็นสารอันดับแรก แล้วใส่น้ำยาอง Ferrous sulphate ซึ่งเป็นสารอันดับที่ 4 จากนั้นจึงเอานำยาของสารอันดับที่ 2 คือ Ammonium sulphate ใส่ดังนี้เป็นต้น การปฏิบัติเช่นนี้ อาจทำให้สารเคมีเกิดปฏิกิริยาต่อกันและตกตะกอน ทำให้วุ้นเสียหรือเป็นพิษแก่กล้วยไม้ อนึ่งในขณะที่เทน้ำยาสารเคมีของสารต่าง ๆ ลงไปตามลำดับในสูตรวุ้นนั้น ให้ใช้แท่งแก้วกวนหรือคนให้เข้ากันอยู่ตลอดเวลา สำหรับในกรณีที่สูตรวุ้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วน ก และส่วน ข เวลาทำวุ้นให้แบ่งน้ำกลั่นหรือน้ำฝน และน้ำมะพร้าวอ่อนออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน เป็นส่วน ก และ ส่วน ข แล้วผสมน้ำยา ส่วน ก และส่วน ข ตามสูตร จากนั้นจึงเอาน้ำยาส่วน ข เทผสมลงในส่วน ก แล้วคนด้วยแท่งแก้ว น้ำยาที่เทผสมทั้งส่วน ก และ ส่วน ข จะต้องเทก่อนหรือหลังตามลำดับในสูตร ดังกล่าวมาแล้ว
    4. ล้างวุ้นให้สะอาดด้วยน้ำกลั่นหรือน้ำฝนใส่ลงไปตามสูตร จำนวน 12 กรัม
    5. ยกหม้อวุ้นขึ้นตั้งไฟ ไฟที่ใช้ต้มวุ้นนี้ควรใช้เตาแก๊สหรือเตาฟู่ เพราะสามารถเร่งและลดไฟหรือความร้อนได้สะดวก เมื่อยกหม้อวุ้นขึ้นตั้งไฟแล้วให้เร่งให้แรงหรือร้อนจัด ๆ แต่ต้องระมัดระวังวุ้นเดือดจะไหลล้นจากหม้อ ถ้าวุ้นเดือดมากหรือเดือดแรงเกินไปก็ให้ลดไฟลงพอเหมาะเพื่อไม่ให้วุ้นล้นออกจากหม้อในขณะที่ตุ้มวุ้นอยู่นั้นให้ใช้แท่งแก้วกวนหรือคนบ่อย ๆ ทำการต้มวุ้นละลายหมด ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 20 ? 30 นาที
    6. เมื่อวุ้นที่ต้มละลายหมดแล้วให้ใส่น้ำตาล ซึ่งอาจเป็นน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาล Fructose และน้ำตาล glucose สุดแล้วแต่กรณีลงไปตามสูตร แล้วทำการต้มเคี่ยวต่อไปจนน้ำตาลละลายหมด โดยให้ใช้แท่งแก้วกวนหรือคนบ่อย ๆ
    7. เมื่อน้ำตาลละลายหมดแล้วยกหม้อวุ้นลงจากเตาไฟ ทำการทดสอบความเป็นกรดเป็นด่างหรือ pH ของวุ้นด้วย Brom Cresol Green (BCG) โดยตักวุ้นจำนวนเล็กน้อยใส่ในหลอดแก้ว แล้วใช้ Brom Cresol Green ซึ่งนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า บี ซี จี (BCG) หยดใส่ลงไปแล้วคนด้วยแท่งแก้ว วุ้นจะเปลี่ยนสีทันที นำไปเทียบสีกับแผ่นเทียบสีก็จะทราบได้ว่าวุ้นนั้นมี pH เท่าใด ความเป็นกรดเป็นด่างของวุ้นสูตรต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมี pH5 (เป็นกรดเล็กน้อย) ถ้า pH ของวุ้นที่ทำน้อยหรือต่ำกว่า 5 แสดงว่าวุ้นเป็นกรดมากเกินไป ให้ใช้ NaOH (โซเดียม ไฮดรอกไซด์) ค่อย ๆ หยดลงไปในหม้อวุ้น แล้วกวนหรือคนด้วยแท่งแก้วให้เข้ากัน จากนั้นนำวุ้นไปทดสอบหา pH อีก ทำดังนี้จนกว่าวุ้นจะมี pH5 ตามต้องการ และถ้าหากวุ้นมี pH สูงหรือมากกว่า 5 แสดงว่าความเป็นกรดของวุ้นน้อยไป ยังไม่เหมาะสมต่อการนำไปเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ต้องปรับหรือทำวุ้นให้มี pH5 เสียก่อน โดยใช้ H3PO4 (ฟอสฟอริค แอชสิค) ค่อย ๆ หยดลงไปแล้วใช้แท่งแก้วคนหรือกวนให้เข้ากัน จากนั้นนำวุ้นไปทดสอบหา pH ด้วย บี ซี จี แล้วใช้แท่งแก้วคนหรือกวนให้เข้ากัน จากนั้นนำวุ้นไปทดสอบหา pH ด้วย บี ซี จี (BCG) ทำดังนี้จนกว่าจะได้วุ้นมี PH5 ตามต้องการ
    8. เมื่อทำการทดสอบ pH ของวุ้นเสร็จแล้วรีบนำวุ้นกรอกใส่ขวดที่จะใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้ ในการกรอกวุ้นใส่ขวดนี้จำเป็นต้องกระทำในขณะที่วุ้นยังร้อน ๆ อยู่ เพราะวุ้นเย็นแล้วจะแข็งตัวกรอกลงขวดไม่ได้ ถ้าหากนำวุ้นมากรอกลงขวดยังไม่หมดวุ้นเริ่มเย็น ให้รีบยกขึ้นตั้งไฟอุ่นพอร้อนให้รีบยกลงนำไปกรอกลงขวดต่อไป ทำดังนี้จนกว่าวุ้นจะหมดหม้อ ขวดที่ใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้ปกติเป็นขวดเหลี่ยม (สี่เหลี่ยม) ขนาดประมาณ (กว้าง x ยาว x สูง) 7 x7 x 26 ซม. มีความจุประมาณ 750 ซีซี เป็นขวดแก้วสีขาวใส เพื่อแสงสว่างจะได้ส่องเข้าไปภายในขวดถูกเมล็ดหรือลูกกล้วยไม้ภายในขวด ปากขวดไม่ควรกว้างมากนัก เพราะปากขวดแคบทำให้การป้องกันรักษาในการกรอกวุ้นใส่ขวด ควรใช้กรวยสวมไว้ที่ปากขวด และพยายามอย่าให้วุ้นโดนหรือถูกบริเวณปากขวดเป็นอันขาด เพราะจะเป็นทางนำเชื้อโรค เช่น บักเตรี (Bacteria) หรือพวกเห็ดราจากภายนอกเข้าสู่วุ้นภายในขวดได้ จำนวนหรือปริมาณวุ้นที่กรอกลงในขวดควรกะให้พอเหมาะ เมื่อจับขวดนอนตะแคงในทางแบนแล้ววุ้นจะไม่ไหลล้นออกทางปากขวด ซึ่งในทางปฏิบัติเพื่อความรวดเร็วและสะดวก ควรใช้ขวดมาตรฐานเดียวกัน คือมีรูปร่างและขนาดเท่ากันทุกขวด และก่อนทำการลงมือกรอกวุ้นลงขวดอย่างจริงจังควรทำการทดลองเสียก่อนว่าจะต้องใส่วุ้นปริมาณเท่าใด เช่นกี่ซีวี หรือสูงจากก้นขวดเท่าใด หรือจัดทำกระบวยตักวุ้นให้มีขนาดบรรจุวุ้นพอเหมาะ พอดีคือเมื่อตักกรอกวุ้นลงขวดและจับขวดนอนตะแคงแล้ว วุ้นจะไม่ไหลล้นออกจากปากขวด
    9. ใช้สำลีม้วนให้แน่นจุกปิดปากขวดวุ้นไว้ หรือจะใช้จุกยางสำหรับจุกปิดปากขวดก็ได้ ทั้งนี้ สุดแท้แต่ความสะดวก
    10. ใช้กระดาษห่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้เช่น จุกขวดวุ้น (ปกติจุกขวดวุ้นนี้ใช้จุกยางเจาะรูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ? 5 มม. ทะลุตรงกลางแล้วใช้สำลีอุดตรงรูที่เจาะไว้) dropper จานแก้ว ฯ (สำหรับขวดวุ้นไม่ต้องใช้กระดาษห่อ)
    11. นำขวดวุ้นและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ห่อกระดาษไว้แล้วใส่ลงใน Autoclave ขวดวุ้นที่ใส่ลงใน Autoclave นั้นให้ตั้งขึ้น จากนั้นยก Autoclave ขึ้นตั้งไฟซึ่งใช้เตาแก๊สหรือเตาฟู่แล้วเร่งไฟให้แรงหรือร้อนที่สุด เปิด Safety valve ของ Autoclave ไว้เพื่อให้ไอน้ำไล่อากาศภายใน Autoclave ออกให้หมดเสียก่อน ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ คือ ถ้าไอน้ำไล่อากาศออกหมดแล้วจะเห็นมีไอน้ำออกมาทาง Safety valve จากนั้นจึงปิด Safety valve เมื่อเข็มวัดความดัน Pressure gauge ของ Autoclave ชี้ตรง 15 ibs / in2 เป็นระยะเวลานาน 30 นาที
    12. ทำการดับไฟปล่อยทิ้งไว้จนเข็มของ Pressure gauge ลดลงมาอยู่ที่เลขศูนย์ จึง ค่อย ๆ เปิดฝา Autoclave นำขวดวุ้นออกไปวางนอนตะแคงในที่ซึ่งเตรียมไว้โดยทางปากขวดเมื่อได้รับความกระทบกระเทือน ปล่อยวุ้นทิ้งไว้จนเย็น ซึ่งในทางปฏิบัติตามปกติจะปล่อยวันทิ้งไว้ 1 คืน วุ้นก็จะแข็งตัว พร้อมที่จะนำไปใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นให้รีบนำเข้าเก็บไว้ในตู้เย็น เพาะโดยยังไม่ต้องแก้กระดาษออก

อนึ่ง เพื่อความสะดวกรวดเร็วและไม่ต้องเสียเวลารอนานจนเกินไปในการเปิด Autoclave เอาขวดวุ้นและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกอาจจะช่วยลดความดัน (Pressure) ใน Autoclave ให้เร็วขึ้นโดยค่อย ๆ เปิด Safety valve ให้ไอน้ำค่อย ๆ ออก การเปิด Safely valve นี้ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุดเพราะถ้าเปิดมากไปไอน้ำจะพุ่งออกจาก Autoclave ทาง Safety valve อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้วุ้นพุ่งทะลักออกจากขวดก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้

 

5. การรมตู้เพาะ

ตามปกติเชื้อพวกบักเตรี (Bcteria) และเห็ดรา (Fungi) จะมีอยู่ทั่วไปทั้งในอากาศ น้ำ และในดิน วุ้นสำหรับเพาะเมล็ดกล้วยไม้นั้นเป็นอาหารชั้นดีเลิศของพวกเชื้อบักเตรี (Bacteria) และเห็ดรา (Fungi) เพราะฉะนั้น ในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้หรืออีกนัยหนึ่ง คือการนำเอาเมล็ดกล้วยไม้เข้าไปไว้บนวุ้นในขวดจึงจำเป็นต้องกระทำอย่างมิดชิด เช่น กระทำกันในที่ที่ไม่มีเชื้อบักเตรี หรือเห็ดรา เป็นต้น และสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ก็คือ ตู้เพาะ (Transfer hood) ทั้งนี้ เพราะตู้เพาะเป็นห้องขนาดเล็ก กว้างประมาณ 70 ? 80 ซม. ยาวประมาณ 110 ? 130 ซม. และสูงสุดประมาณ 60 ? 70 ซม. เท่านั้น จึงสามารถควบคุมและฆ่าเชื้อโรคพวกบักเตรีและเห็ดราได้ง่ายสะดวกและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยก็คือวิธีรมยาหรือรมแก๊สด้วยด่างทับทิมกับฟอร์มาลิน วิธีทำคือ เอาด่างทับทิมประมาณ 1 ?2 ช้อนกาแฟ ใส่ไว้ในถ้วยเคลือบแล้วนำไปใช่ไว้ในตู้เพาะ จากนั้นฟอร์มาลิน (Formalin) ขนาด 40% ใส่ลงไปในถ้วยด่างทับทิมประมาณ 1 ? 2 ช้อนโต๊ะ แล้วปิดตู้เพาะไว้โดยไม่ต้องเปิดตู้เพาะอีกจนกว่าจะทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ด่างทับทิมจะทำปฏิกิริยาฟอร์มาลินเกิดเป็นแก๊สสามารถฆ่าเชื้อพวกบักเตรีและเห็ดราภายในตู้ได้ การรมตู้เพาะควรกระทำก่อนที่จะดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ทุก ๆ ครั้ง กล่าวคือ ถ้าเป็นการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ติดต่อกันไปหลาย ๆ วัน หรือทิ้งระยะห่างกันครั้งละไม่นานวันนัก เช่น ห่างกันครั้งละ 2-3 วัน ดังนี้เป็นต้น เมื่อรมยาครั้งหนึ่งไปแล้วก็อาจใช้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ได้หลายครั้ง แต่ถ้าเป็นการเพาะเมล็ดกล้วยไม้แต่ละครั้งห่างกันหลาย ๆ วัน เช่น ห่างกัน 10-20 วันขึ้นไปเมื่อจะทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ก็จำเป็นต้องรมยาอีกเสียก่อน

 

6. การเตรียมเมล็ดกล้วยไม้สำหรับใช้เพาะ

ดังกล่าวมาแล้วว่าเชื้อพวกบักเตรีและเห็ดรามีอยู่ไปทุกหนทุกแห่งทั้งในดิน น้ำ และอากาศ และอาจเกาะอยู่ตามผักและเมล็ดกล้วยไม้ด้วย ฉะนั้น ก่อนที่จะเมล็ดกล้วยไม้ไปเพาะลงในวุ้นจึงจำเป็นต้องทำความสะอาดเสียก่อน โดยนำไปฆ่าเชื้อบักเตรีและเห็ดรา ดังต่อไปนี้

    1. ผ่าผักกล้วยไม้ออกจะมีเมล็ดกล้วยไม้อยู่ภายในผัก เมล็ดกล้วยไม้มีขนาดเล็กมาก เมื่อมองดูด้วยตาเปล่าจะเห็นคล้ายเป็นผงฝุ่นละอองจากนั้นใช้แว่นขยาย (Hand lens) ตรวจอบความสมบูรณ์ของเมล็ด ถ้าเป็นเมล็ดกล้วยไม้ที่สมบูรณ์จะเป็นเต่งตึงอย่างเด่นชัด ส่วนเมล็ดไม่สมบูรณ์เพาะไม่ขึ้นจะลีบ ฉะนั้น ถ้ากล้วยไม้ผักใดมีเมล็ดลีบก็ต้องทิ้งไป
    2.  

    3. เอาเมล็ดกล้วยไม้ที่สมบูรณ์ออกจากฝักใส่ลงในขวดเล็ก ๆ ขนาดความจุประมาณ 15 ? 25 ซีซี
    4. เอา Hydrogen peroxide ความเข้มข้น 20 Volume ผสมกับน้ำกลั่นในอัตรา 1: 1 ถึง 1 ; 2 (Hydrogen peroxide 1 ส่วน น้ำกลั่น 1 ถึง 2 ส่วน) เขย่าให้เข้ากันแล้วเทลงในขวดเมล็ดกล้วยไม้ประมา 10 ? 15 ซีซี แล้วให้สังเกตดู ถ้าเห็นว่าเมล็ดกล้วยไม้ที่ปะปนอยู่กับน้ำยา Hydrogen peroxide หนาแน่นเมื่อนำไปเพาะลูกกล้วยไม้ที่เกิดในขวดวุ้นจะมีปริมาณมากและเบียดเสียดหนาแน่นเกินไปก็ให้เทออกเสียบ้าง แล้วเติมน้ำยา Hydrogen peroxide เพิ่มลงไปจนเห็นว่าเมล็ดกล้วยไม้ในน้ำยา Hydrogen peroxide มีปริมาณพอเหมาะดีแล้ว จึงปิดขวดและเขย่านานประมาณ 1 ? 20 นาที เพื่อให้ Hydrogen peroxide ชำระล้างและฆ่าเชื้อบักเตรีและเห็ดราที่เกาะอยู่กับเมล็ดกล้วยไม้
    5. จากนั้นนำขวดเมล็ดกล้วยไม้เข้าเก็บไว้ในตู้เพาะ เพื่อทำการเพาะ คือนำเมล็ดกล้วยไม้ลงในขวดวุ้นต่อไป

 

7. วิธีดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้

วิธีดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้หมายถึง วิธีที่นำเมล็ดกล้วยไม้เข้าไปไว้ในวุ้นในขวดเพื่อให้เมล็ดกล้วยไม้งอกเป็นต้นกล้วยไม้ต่อไป วิธีดำเนินการเพาะเมล็ดกล้วยไม้อาจทำเป็นขั้นตอนตามลำดับดังต่อไปนี้

    1. นำขวดวุ้นและอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไว้ในตู้เพาะซึ่งได้รมยาฆ่าเชื้อโรคไว้แล้ว และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 ? 3 ชั่วโมง เพื่อรอให้แก๊สที่ใช้รมตู้เพาะฆ่าเชื้อโรคพวกบักเตรีและเห็ดราที่ติดเข้าไป ขวดวุ้นควรวางเรียงซ้อนกันให้เป็นระเบียบด้านซ้ายมือ
    2. ล้างมือให้สะอาดแล้วล้างด้วย Alcohol 70% อีกครั้งหนึ่ง ทำการสวมถุงมือยาง ซึ่งได้นึ่งฆ่าเชื้อโรคใน Autoclave แล้วจากนั้นเอามือทั้ง 2 ข้างสอดเข้าไปในตู้เพาะข้างละรู ใช้ยางรัดข้อมือติดกับปลายของผ้ารูปทรงกระบอกแบบแขนเสื้อเชิร์ตแขนยาว ซึ่งปลายอีกข้างหนึ่งติดแน่นอยู่กับรูสำหรับใช้มือสอดเข้าไปในตู้เพาะ
    3. จุดตะเกียง Alchol ที่อยู่ในตู้เพาะ จากนั้นให้ใช้มือซ้ายจับขวดวุ้นไว้แล้วใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือขวาจับ dropper บีบดูดเมล็ดกล้วยไม้ซึ่งอยู่ปนกับ Hydrogen peroxide เข้าไว้ใน dropper ส่วนนิ้วก้อยกับนิ้วนาง มือขวาคีบจุกขวดเอาไว้
    4. เปิดจุกขวดวุ้นซึ่งอาจเป็นสำลีหรือจุกยางสุดแล้วแต่กรณีออกพร้อม ๆ กับเอาปากขวดวุ้นอังลนไฟไว้ แล้วสอด dropper เข้าไปในปากขวดวุ้นบีบ dropper พ่นเมล็ดกล้วยไม้พร้อมทั้ง Hydrogen peroxide เข้าไปในขวดวุ้น
    5. เอาฝาจุกยางอังลมไฟแล้วปิดฝาขวดทันที ฝาจุกยางนี้เจาะรูขนาด 3 ? 5 มม. ทะลุ มีสำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้ออุดไว้ตรงรุเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่วุ้นในขวด ส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อมีดังนี้ เมอดิวริกคอลไรด์ (Mercuric chloride) 5 กรัม ละลายน้ำ 1 ลิตร หรือ กรดฟิคคริค (Picric acid) และเมอคิวริคคลอไรด์ (Mercuric chloride) อย่างละ 3.5 กรัม ละลายในเอทธิลแอลกอฮอล์ (Ethyl alcohol) 40% จำนวน 1 ลิตร
    6. จับขวดวุ้นค่อย ๆ เอียงไปมาให้เมล็ดกล้วยไม้ซึ่งปะปนอยู่กับ Hydrogen peroxide ไหลแผ่กระจายไปทั่ว ๆ ผิวหน้าวุ้นในขวด ทั้งนี้เพื่อเวลาเมล็ดกล้วยไม้งอกจะได้กระจายทั่วขวดวุ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่เป็นกระจุกอยู่ที่หนึ่งที่ใด
    7. นำขวดวุ้นที่ได้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้แล้ววางเรียงซ้อนกันไว้ในตู้เพาะอีกด้านหนึ่ง คือ ด้านขวามือให้ห่างจากขวดวุ้นที่ยังไม่ได้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ทำดังนี้จนเพียงพอแก่ความต้องการ หรือทำการเพาะจนหมดขวดวุ้นในตู้เพาะ
    8. เมื่อเพาะเมล็ดกล้วยไม้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ดับตะเกียง Alcohol แล้วเปิดตู้เพาะนำขวดวุ้นที่ได้ทำการเพาะเมล็ดกล้วยไม้แล้วออกจากตู้เพาะไปเก็บไว้ในที่เก็บที่ได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งปกติจะอยู่ในที่ร่มภายในอาคารแสงสว่างเข้าถึงได้เต็มที่ อากาศถ่ายเทได้สะดวก ถ้าสถานที่สำหรับเก็บขวดวุ้นมีแสงสว่างน้อยอาจไม่เพียงพอแก่ความเจริญงอกงามของลูกกล้วยไม้ในขวดควรใช้ไฟฟ้าหลอดนีออนหรือแสง daylight ช่วยเพิ่มแสงสว่างให้มากขึ้น
    9. เขียนระหัส (Code) หรือชื่อแม่ ? พ่อ ลูกกล้วยไม้ ชื่อเจ้าของ ตลอดจน วัน เดือน ปี ที่ทำการเพาะไว้ที่ขวดเพาะเมล็ดกล้วยไม้ เพื่อจะได้ทราบถึงประวัติ พ่อ / แม่ และลูกกล้วยไม้ในขวดนั้น ๆ

 

 

 

 

 

การถ่ายขวดลูกกล้วยไม้

 

1. ประโยชน์ของการถ่ายขวด

ในการเพาะเมล็ดกล้วยไม้นั้น เมื่อเมล็ดกล้วยไม้งอกมักจะอยู่กันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางแห่งลูกกล้วยไม้อาจอยู่กันไม่หนาแน่น แต่บางแห่งอาจมีลูกกล้วยไม้อยู่กันอย่างเบียดเสียดหนาแน่น และในทางปฏิบัติผู้เพาะมักนิยมเพาะให้มีลูกกล้วยไม้ในขวดค่อนข้างหนาแน่น โดยใส่เมล็ดกล้วยไม้ใน Hydrogen peroxide มากกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อลูกกล้วยไม้ในขวดเพาะเจริญเติบโตอายุได้ประมาณ 2 ? 3 เดือน จึงนำไปถ่ายขวดใหม่ ล

การถ่ายขวดลูกกล้วยไม้มีประโยชน์หลายอย่าง กล่าวคือ

    1. ลูกกล้วยไม้ในขวดถ่ายมีปริมาณจำนวนพอเหมาะกับเนื้อที่วุ้นในขวดและอยู่กระจายอย่างสม่ำเสมอ
    2. ลูกกล้วยไม้ในขวดถ่ายแต่ละขวดมีปริมาณเท่า ๆ กัน เป็นมาตรฐานเดียวกัน สะดวกต่อการซื้อขาย
    3. การเจริญเติบโตลูกกล้วยไม้ในขวดเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ สวยงามเพราะเวลาถ่ายขวดนั้น ปกติจะคัดเลือกกล้วยไม้ขนาดเท่า ๆ กัน ไว้ในขวดเดียวกัน

 

2. วุ้นสำหรับถ่ายขวดลูกกล้วยไม้

วุ้นสำหรับใช้ถ่ายขวดลูกกล้วยไม้นี้ในปัจจุบันนิยมสูตร Vacin and Went ซึ่งเป็นสูตรวุ้นเดียวกันกับที่ใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้

 

3. วิธีถ่ายขวดลูกกล้วยไม้

วิธีถ่ายขวดลูกกล้วยไม้ดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ

    1. ทำการรมยาตู้เพาะด้วยด่างทับทิมและฟอร์มาลินก่อนที่จะดำเนินการถ่ายขวดลูกกล้วยไม้อย่างน้อย 1 ? 3 ชั่วโมง โดยวิธีเดียวกับการเพาะเมล็ดกล้วยไม้
    2.  

    3. นำอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ได้นึ่งฆ่าเชื้อใน Autoclave ตลอดจนจุกขวดยาง ช้อนสำหรับตักลูกกล้วยไม้ถ่ายขวด ซึ่งเป็นช้อนด้ามยาวทำด้วยอลูมิเนียม หรือ Stainless steel ปลายช้อนสำหรับตักลูกกล้วยไม้มีรูปร่างแบน และด้านข้างทำเป็นซี่ ๆ คล้าย ๆ ซ่อม 3 ? 4 ซี่ ทั้งนี้ เพื่อความสะอาดเหมาะสมกับการตักลูกกล้วยไม้ในขวดเพาะนำไปวางเรียงในขวดถ่าย
    4. นำขวดวุ้นที่ใช้เป็นขวดถ่ายวางเรียงซ้อนกันไว้ในตู้เพาะทางซ้ายมือ
    5. นำขวดลูกกล้วยไม้ไม้เข้าไว้ในตู้เพาะ
    6. ล้างมือให้สะอาดแล้วสวมถุงยาง สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในตู้เพาะทางรูตู้ เพาะข้างละมือแล้วใช้ยางรัดของรัดข้อมือติดกับปลายถุงผ้า เช่นเดียวกับการเพาะเมล็ดกล้วยไม้
    7. จุดตะเกียงแอลกอฮอล์ เอาปากขวดเพาะเมล็ดกล้วยไม้และปากขวดวุ้น (ขวดถ่าน) ลมอังไฟตะเกียงแอลกอฮอล์จากนั้นเปิดจุกขวดวุ้น (ขวดถ่าย) และจุกขวดเพาะเมล็ดกล้วยไม้ออก ใช้ช้อนลนอังไฟ แล้วนำไปตักลูกกล้วยไม้จากขวดเพาะแยกลูกกล้วยไม้ที่เกาะติดกันเหลือเพียงตันเดียวนำไปวางเรียงกันไว้บนวุ้นขวดถ่าย โดยให้ห่างกันเล็กน้อยพอเหมาะจนเต็มขวด ซึ่งจะมีปริมาณลูกกล้วยไม้ประมาณ 60 - 80 ต้น เสร็จแล้วใช้จุกยางปิดขวดถ่าย ในขณะที่ทำการถ่ายขวดวุ้นนี้ควรเอาทั้งปากขวดเพาะ ปากขวดถ่านและช้อนลนอังไฟบ่อย ๆ เป็นครั้งคราวอยู่เสมอ ๆ อนึ่งในการถ่ายขวดลูกกล้วยไม้นี้เพื่อความสะดวง อาจวางขวดวุ้น (ขวดถ่าย) ไว้บนขาตั้งในตู้เพาะทางซ้ายมือ ส่วนมือซ้ายถือขวดเพาะและมือขวาถือช้อนตักลูกกล้วยไม้ หรืออาจวางขวดเพาะไว้บนขาตั้งมือซ้ายถือขวดถ่ายและมือขวาถือช้อนตักลูกกล้วยไม้ ทั้งนี้ สุดแท้แต่อัธยาศัย
    8. เมื่อทำการถ่ายขวดลูกกล้วยไม้หมดหรือถ่ายขวดลูกกล้วยไม้ไม่ได้ตามต้องการดับตะเกียงแอลกอฮอล์ จากนั้นเปิดตู้เพาะนำขวดลูกกล้วยไม้ที่ได้ถ่ายขวดใหม่ออกจากตู้เพาะเขียนชื่อแม่-พ่อ ลูกกล้วยไม้หรือระหัด (Code) ตลอดจนวัน เดือน ปี ที่ได้ทำการถ่ายขวดไว้แล้วนำไปเก็บไว้ในที่เก็บต่อไป

 

 

 

 

 

 

การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) กล้วยไม้

 

นักวิทยาศาสตร์สามารถนำเนื้อเยื่อของพืชมาเพาะเลี้ยงได้นานมาแล้ว แต่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช สิ่งจะได้รับความสนใจศึกษาค้นคว้าทดลองปรับปรุงให้ได้ผลดียิ่งขึ้น และนำมาใช้ปฏิบัติในการขยายพันธ์พืชอย่างจริงจังแพร่หลายเมื่อประมาณปี พ.ศ.2503 มานี้เอง เนื้อเยื่อของพืชที่นำมาเพาะเลี้ยงนั้น โดยปกติทั่ว ๆ ไปแล้วรวมหมายถึง เนื้อเยื่อ (Tissue) เซลล์ (Cell) และอวัยวะ (Organ) ต่าง ๆ เช่น ตา ปลายยอด และปลายราก เป็นต้น อาหารที่ใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อนั้นมีทั้งที่เป็นวุ้นและอาหารเหลว การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นวิชาการแขนงหนึ่งหรือศาสตร์หนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมีเทคนิค และวิธีการดำเนินงานได้หลายรูปแบบ หรือหลายวิธีต่าง ๆ กัน การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของพืชจะทำได้สำเร็จเรียบร้อยดียากง่ายเพียงใดนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีดำเนินงานแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอีก 2 อย่าง คือ สูตรอาหารว่าจะเหมาะสมต่อการนำไปเลี้ยงเนื้อเยื่อของพืชชนิดนั้น ๆ หรือไม่เพียงใด ซึ่งตามปกติแล้วเนื้อเยื่อของพืชแต่ละชนิดย่อมมีความต้องการสูตรอาหารไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การเลือกใช้สูตรอาหารโดยใช้สูตรอาหารที่เหมาะสม ต่อความต้องการของเนื้อเยื่อพืชแต่ละชนิดจึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างหนึ่งในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชแต่ชะชนิด ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ยากง่ายต่างกัน แม้แต่กล้วยไม้ เท่าที่ได้มีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาแล้ว ปรากฏว่าการการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) และกล้วยไม้สุกลแคทลียา (Cattleya) สามารถกระทำได้ง่ายกว่ากล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda) เป็นต้น

ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการเพาะเลี้ยงด้วยตาของหน่อกล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrohium) คือมาดามหรือมาดามปอมปาดัวร์ (Dendrobium Pompadour) โดยใช้อาหารเหลวเท่านั้น เพราะเป็นวิธีที่ได้ผลดีและนิยมปฏิบัติกันในวงการเพาะเลี้ยงกล้วยไม้พอสมควร

สูตรอาหารเหลวสำหรับเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

สูตรอาหารเหลวสำหรับใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้มีหลายสูตรเท่าที่นิยมใช้กันในประเทศไทย เนื่องจากใช้ได้ผลดี ได้แก่ สูตรของ Vacin and Went ซึ่งเป็นสูตรเดียวกันกับใช้ทำงวุ้นเพาะเมล็ดกล้วยไม้เพียงแต่ไม่ต้องใส่วุ้นลงไปเท่านั้น

 

สูตรอาหารเหลวสำหรับใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จำนวน 1 ลิตร มีดังนี้

  1. น้ำ
  2. น้ำมะพร้าอ่อน
  3. Tricalcium phosphate Ca3 (PO4)2
  4. Potassium nitrate NHO3
  5. Monobasic potassium phosphate NH2PO4
  6. Magnesium sulphate MgSO 4. 7H2O
  7. Ammonium sulphate (NA4) 2 SO4
  8. Manganese sulphate MnSO4. 4H2O
  9. Ferric tartrate Pe2(C4H4O6)3 . H2O
  10. น้ำตาล
  11. Phosphoric acid H3PO4 (conc.) และ Sodium hydroxide NaOH สำหรับใช้ปรับความเป็นกรดเป็นด่างของอาหารเหลวเพื่อให้ได้ pH5

=

=

=

=

=

=

=

=

=

=

800

200

0.20

0.525

0.25

0.25

0.50

0.0075

0.028

20.00

c.c.

c.c.

g.

g.

g.

g.

g.

g.

g.

.g

วิธีเตรียมอาหารเหลวสำหรับเลี้ยงเนื้อเยื่อ

การเตรียมอาหารเหลวสำหรับใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้นี้ดำเนินการอย่างเดียวกับการเตรียมวุ้นสำหรับเพาะเมล็ดกล้วยไม้ดักล่าวมาแล้วใน คือ นำสารต่าง ๆ ในสูตรวุ้นตั้งแต่เลขที่ 3 ? 9 ไปทำ Stock solution เสียก่อนโดยให้น้ำยา (Solution) ของสารแต่ละชนิด จำนวน 20 c.c. มีสารอยู่เท่ากับที่กำหนดไว้ในสูตร เช่น น้ำยา (Solution) Ca3 (PO4)2 จำนวน 20 c.c. มีสาร Ca3 (PO4)2, อยู่ 0.20 กรัม หรือน้ำยา (solution) KHO3 จำนวน 10 c.c. มีสาร KHO3 อยู่ 0.525 กรัม ดังนี้เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเตรียมอาหารเหลว

วิธีเตรียมอาหารเหลวจำนวน 1 ลิตร สำหรับใช้เลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ดำเนินการตาม ขั้นตอนดังต่อไปนี้

    1. เอาน้ำกลั่นหรือน้ำฝนใส่ลงในหม้อเคลือบหรือหม้ออลูมิเนียม จำนวน 800 c.c. ตามสูตร
    2. เอาน้ำมะพร้าวอ่อนใสลงไป จำนวน 200 c.c. แล้วใช้แท่งแก้วคนหรือกวนให้เข้ากัน
    3. เอาน้ำยา (Solution) ของสารต่าง ๆ ตามสูตรชนิดละ 20 c.c. ซึ่งจะมีปริมาณสารชนิดนั้น ๆ เท่ากับที่กำหนดไว้ในสูตรเทใส่ลงไปตามลำดับ ตั้งแต่สารลำดับที่ 3 ? 9 ในขณะที่เทน้ำยาของสารแต่ละชนิดลงไปนั้นให้ใช้แท่งแก้วกวนหรือคนตลอดวเลาเพื่อให้เข้ากัน จากนั้นเทน้ำตาล (น้ำตาลทรายขาว) ลงไปจำนวน 20 กรัม
    4. ยกหม้ออาหารเหลวเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ขึ้นตั้งไฟ ซึ่งใช้เตาแก๊สหรือเตาฟู่ และใช้แท่งแก้วกวนหรือคนบ่อย ๆ การที่ต้องต้มอาหารเหลวและใช้แท่งแก้วกวนหรือคนบ่อย ๆ ก็เพื่อประหยัดเวลาและให้สารต่าง ๆ ตลอดจนน้ำตาลละลายผสมทั่วกัน
    5. เมื่อน้ำตาลละลายหมดแล้วยกหม้ออาหารเหลวเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ลงจากเตา จากนั้นทำการทดสอบความเป็นกรดเป็นด่างด้วย BCG เช่นเดียวกับวิธีทำวุ้นเพาะเมล็ดกล้วยไม้
    6. ทำการปรับความเป็นกรดเป็นด่าง ของอาหารเหลวเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยไม้ โดยใช้กรดฟอสฟอริค H3PO4 หรือโซเดียวไฮดรอกไซด์ HaOH สุดแล้วแต่กรณี เช่นเดียวกับการทำวุ้นเพาะเมล็ดกล้วยไม้เพื่อให้อาหารเหลวมี pH5
    7. ทำการกรอกอาหารเหลวลงในขวดปากกว้าง หรือบีคเกอร์ (Beaker) ประมาณ ½ ของขวดปากกว้างหรือบีกเกอร์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเหลวกระฉอกหกออกมา เมื่อนำเข้าเครื่องเขย่า (Shaker)
    8. ปิดฝาปากกว้างหรือบีคเกอร์ด้วยจุกยางหรืออลูมินัมพอยล์ (Aluminum floil)
    9. นำขวดบรรจุอาหารเหลวพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ถุงมือยางใส่ลงใน Autoclave
    10. ยก Autoclave ขึ้นตั้งบนเตาแก๊สหรือเตาฟู่ แล้วเร่งไฟให้ร้อน
    11. เปิด Safety valve ของ Autoclave ให้ไอน้ำไล่อากาศออกให้หมด โดยสังเกตที่ Safety valve คือถ้าเห็นมีไอน้ำออกทาง Safety valve แสดงว่าไอน้ำได้ไล่อากาศออกหมดแล้ว จากนั้นทำการปิด Safety valve
    12. ทำการเร่งไฟให้แรงเมื่อเข็ม Pressure gauge ของ Autoclave ชี้ตรง 15lbs/in2 ให้เริ่มจับเวลา ครั้นเมื่อเข็ม Pressure gauge อยู่ตรง 151/bs/in2 ให้เริ่มจับเวลา ครั้นเมื่อเข็ม Pressure gauge อยู่ตรง 15bs/in2 นานครบ 30 นาที ให้ดับไฟปล่อยทิ้งไว้จนเข็มวัดความดัน (Pressure gauge) ลดลงถึงเลข 0 (เลขศูนย์)
    13. เปิดฝา Autoclave นำขวดอาหารเหลวไปเก็บไว้ เมื่ออาหารเหลวเย็นสนิทดีแล้วก็พร้อมที่จะนำไปใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ต่อไป ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อนำออกจาก Autoclave แล้ว ให้รีบนำเข้าเก็บไว้ในตู้เพาะเมล็ดกล้วยไม้ ซึ่งได้ทำการรมแก๊สฆ่าเชื้อโรคด้วยด่างทับทิมและฟอร์มาลิน 40% แล้ว อาหารเหลวที่ทำได้นี้จะมีปริมาณประมาณ 1 ลิตร หากต้องการทำอาหารเหลวมากเกินกว่า 1 ลิตร ก็ให้เพิ่มปริมาณสารต่าง ๆ ขึ้นตามส่วน

วิธีดำเนินการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยใช้ตากล้วยไม้ Phalaenopsis ซึ่งเป็นกล้วยไม้สกุลหวาย ด้วยอาหารเหลว

    1. นำขวดอาหารเหลวเข้าไว้ในตู้เพาะพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้แก๊สที่ใช้รมเพาะฆ่าเชื้อโรคที่ติดเข้าไป
    2. ทำความสะอาดมืดที่คม ๆ โดยเช็ดด้วย Alcohol 70% แล้วตัดแยกหน่อกล้วยไม้ซึ่งมีขนาดยาวสูงประมาณ 3.00-5.00 ม.
    3. ล้างทำความสะอาดหน่อกล้วยไม้แล้วนำแช่ลงไว้ในน้ำยาแคลเซียมไฮโปคลอไรด์ (Calcium hypochlorite solution) หรือ chlorox 10% แล้วนำเข้าไว้ในตู้เพาะ
    4. ล้างมือให้สะอาดแล้วล้างด้วย Alcohol 70% อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นทำการสวมถุงมือยาง แล้วสอดมือทั้ง 2 ข้างเข้าไปในตู้เพาะรูละข้าง และใช้ยางรัดข้อมือติดกับรูของตู้เพาะ
    5. จุดตะเกียง Alcohol จากนั้นนำหน่อกล้วยไม้ขึ้นจาก Calcium hypochlorite solution หรือ chlorox 10% ซึ่งได้แช่ไว้นาน 5 ? 10 นาทีแล้ว และทำการลอกคาบใบที่หุ้มออกจนหมด
    6. ใช้ alcohol 70% เช็ดทำความสะอาดใบมีด ซึ่งปกตินิยมใช้มีดผ่าตัด (สำหรับใช้ผ่าตัด) เบอร์ 10 หรือ เบอร์ 11 เพราะมีขนาดเล็ก บาง และคมดี จากนั้นเอาใบมีดลนอังไหตะเกียง Alcohol เพื่อฆ่าเชื้อโรคอีกครั้งหนึ่ง แล้วทำการะเจาะติดเอาตากของหน่อกล้วยไม้ออกมา ทำการตัดเอาเฉพาะเนื้อส่วนที่เป็นตาเท่านั้น ขนาดประมาณเท่าหัวไม้ขีดไฟ จากนั้นเปิดฝาขวดอาหารเหลวเอาเนื้อเยื่อตาที่ตัดได้ใส่ลงไปและปิดฝาขวดทันที
    7. ดับตะเกียง Alcohol เอมมือออกจากตู้เพาะถอดถุงยางแล้วเปิดตู้เพาะ นำขวดอาหารเหลวที่ใส่เนื้อเยื่อตาของหน่อไม้ไปเข้าเครื่องเขย่า (Shaker) ซึ่งตั้งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างเข้าได้เต็มที่และมีอากาศถ่ายเทเข้าออกได้สะดวก
    8. เดินเครื่องเขย่าให้มีความเร็วประมาณ 80 ? 120 ครั้งต่อนาที การที่ต้องใช้เครื่องเขย่าก็เพื่อต้องการให้อาหารเหลวได้รับอากาศอ๊อกซิเจนเพียงพอแก่การดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ
    9. หากเนื้อเยื่อไม่ตายภายในระยะเวลาประมาณ 3 ? 4 อาทิตย์ เนื้อเยื่อตาในอาหารเหลวจะค่อย ๆ เจริญเติบโตเป็น Protocorm และเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าต้องการปริมาณมาก ๆ ก็ต้องทำการถ่ายเนื้อเยื่อซึ่งเจริญเป็น Protocorm ไปยังอาหารเหลวออกใหม่การถ่ายขวด Protocorm บางเนื้อเยื่อจะต้องกระทำในตู้เพาะทุกครั้งเพื่อป้องกันเชื้อโรค
    10. เพื่อได้ปริมาณมากเพียงพอกับความต้องการแล้ว นำขวดเลี้ยงเนื้อเยื่อเข้าไปไว้ในตู้เพาะแล้วทำการถ่าย Protocorm เนื่อเยื่อจากขวดอาหารเหลวเข้าไปเลี้ยงไว้ในขวดวุ้นต่อไปนี้เป็นวุ้นเชนิดเดียวกันกับที่ใช้เพาะเมล็ดกล้วยไม้ซึ่งตามปกตินิยมใช้สูตรวุ้น Vacin and Went
    11. นำขวดวุ้นที่มี Protocorm เนื้อเยื่อไปเก็บไว้ในที่สำหรับเก็บขวดวุ้นที่เพาะเมล็ดกล้วยไม้ Protocorm จะค่อย ๆ เจริญเติบโตที่สุดจะเป็นลูกกล้วยไม้ต้นเล็ก ๆ พร้อมที่จะนำไปถ่ายขวดวุ้นใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการถ่ายขวดวุ้นครั้งสุดท้าย ครั้นลูกกล้วยไม้ในขดวุ้นนี้ได้ถ่ายขวดครั้งสุดท้ายเจริญเติบโตพอสมควรก็นำเอาออกจากขวดวุ้นไปปลูกเลี้ยงต่อไป ต้นกล้วยไม้ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนี้เรียกว่า Mericlone

 

 

การเลี้ยงรากฟาเลนอปซิสให้เป็นต้น

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ถ้านำเอาตายอดหรือตาข้างของกล้วยไม้ทั้งพวกซิมโพเดียล, เช่น ซิมบิเดียม, - แคทลียา, เดนโดรเบียม, ออนซิเดียม; และโมโนโพเดียล, เช่น แวนดา, แอสโคเซนดา, อะแรนดา ฟาเลนอปซิส มาฟอกฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำยาคลอรอกซ์, แล้วเลี้ยงด้วยอาหารวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยเกลือแร่ธาตุต่าง ๆ, น้ำตาล, สารประกอบอินทรีย์บางชนิด ไวตามิน, และฮอร์โมน ในห้องทดลองที่ได้มีการควบคุมอุณหภูมิและแสงสว่างแล้ว, เนื้อเยื่อจากตายอดหรือตาข้างเหล่านี้สามารถจะเจริญเติบโตกลายเป็นโปรโตคอร์ม, และมีใบ, มีรากเกิดขึ้น, กลาย เป็นต้นได้เป็นจำนวนมากมายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จึงได้นำเอาวิธีการอันนี้มาใช้ขยายพันธุ์กล้วยไม้เพื่อกิจการตัดดอกในประเทศไทยในปัจจุบัน โดยวิธีการดังกล่าวนี้สามารถที่จะผลิตต้นได้เป็นจำนวนแสนต้นภายในระยะเวลาหนึ่งถึงสองปี และประการสำคัญที่สุด คือดอกจะออกมาเหมือนกันเอง และเหมือนกับต้นเดิมด้วย, ซึ่งผิดกับวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด, ซึ่งจะได้ลูกออกมามีความแปรปรวนมากมาย, ไม่เหมาะในกิจการตัดดอก

ยังมีกล้วยไม้บางสกุลที่มีก้านช่อดอกยาว, และที่ก้านช่อดอกมีตาอยู่ตามข้อ, ข้อละหนึ่งตา, ตัวอย่างได้แก่ : คอไรติส, ดอไรแตนอปซิส, ฟาเลนปซิส, ออนซิเดียม, และเอพิเดนดรัม, ตาเหล่านี้ เมื่อนำมาฟอกฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำยาคลอรอกซ์, แล้วตัดออกเป็นท่อน ๆ เลี้ยงในอาหารวุ้น, ตาเหล่านี้จะเจริญเติบโตกลายเป็นต้น หรือเป็นโปรโตคอร์ม, และนำไปใช้ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด

ส่วนอื่น ๆ ของกล้วยไม้ เช่น ช่อดอกอ่อนของแอสโคฟินีเตีย, ใบของดอไรติส, ดอไรแตน เปซิส, และแวนดา, เมื่อนำมาเลี้ยงในอาหารที่เหมาะสมแล้วก็สามารถสร้างเป็นต้น หรือเป็นโปรโตคอร์ม, และกลายเป็นต้นได้เช่นกัน บทความเรื่องนี้จะเสนอให้เห็นถึงวิธีการเลี้ยงรากฟาเลนอปซิสจากต้นที่เจริญอยู่ในเรือนต้นไม้ ให้เป็นโปรโตคอร์ม และเป็นต้นได้เป็นจำนวนมาก

ฟาเลนอปซิสที่เป็นรู้จักกันดีและนิยมปลูกกันมาก มีก้านช่อดอกยาว ดอกจะทยอยกันบานจากโคนไปหาปลาย เมื่อดอกบานจนหมดแล้ว ที่ปลายช่อดอกนี้จะสร้างเป็นต้นเล็ก ๆ ขึ้นมา ใช้แยกไปปลูกได้, เท่าที่พบด้วยตนเอง คือ : Phal. Amabilis, Phal. Equertris, Phal. Xintermedia, Phal. John Seden, Phal. Mahinhin, มีอีกจำพวกหนึ่งซึ่งพบต้นเล็ก ๆ ตามข้อของก้านช่อดอก, คือ : Phal. Cornu cervi, Phal. Lueddemarriana, Phal. John Seden, Phal. El Tigre, Phal. Lady Rothschild, Phal Hermione, และ Phal. Lueddemannriana X Phal. Speciosa, เป็นต้น มีอยู่ต้นหนึ่งที่พบว่ามีต้นเล็ก ๆ เกิดจากรากของ Phal. Stuartiana ที่เลื้อยเกาะอยู่ตามลำต้นลั่นทม

Dr. Kim. ทดลองปลูกหวายต้นเล็ก ๆ ในอาหารที่มี 2, 4-D ในปริมาณ 0.75 ppm. ปรากฏว่าที่ปลายรากสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่และกลายไปเป็นต้นได้ ดังนั้น จึงได้ทำการทดลองตัดปลายรากอากาศของ Phal, Star of Santa Cruz ยาวประมาณ 1 ซม. นำมาฟอกฆ่าเชื้อแบคทีเรียและราด้วยน้ำยาคลอรอกซ์ 10% เป็นเวลา 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำกลั่นที่นึ่งฆ่าเชื้อแล้วตัดโคนรากออกเล็กน้อย, แล้วปลูกลงในอาหารสูตร Vacin and Went, ซึ่งได้ดัดแปลงโดยการเติมน้ำมะพร้าว 15% และ 2,4-D ในอัตราส่วนต่าง ๆ ดังนี้ : 0, 0.5, 1, 2, 3 และ 4 ppm.

การเลี้ยงรากฟาเลนอปซิสให้เป็นต้น

สูตรอาหาร Vacin and Went มีส่วนประกอบดังนี้

ไทรแคลเซียมฟอสเฟต

โปแตสเซียมไนเตรต

โมโนโปแตสเซียมแอซิดฟอสเฟต

แมกนีเซียมซัลเฟต

แอมโมเนียมซัลเฟต

เฟริกทาเตรท

แมงกานีสซัลเฟต

น้ำตาลซูโครส

วุ้น

เติมน้ำกลั่นจนเป็น

pH

Ca3 (PO4)2

KNO3

KH2 PO4

MgSO4 . 7H2O

(NH4)2 SO4

Fe2 (C4H4O6)3 . 2H2O

MnSO4 . 2H4O

0.20

0.525

0.25

0.25

0.50

0.028

0.0075

20.00

9.00

1

4.8-5.0

กรัม

กรัม

กรัม

กรัม

กรัม

กรัม

กรัม

กรัม

กรัม

ลิตร

 

ผลการทดลองปรากฏว่า รากที่ปลูกในอาหารที่ไม่มี 2,4-D จะเจริญเติบโตยาวออกไป เรื่อย ๆ และพวกที่ปลูกในอาหารที่มี 2,4-D และ 1 ppm รากสามารถสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ ปูดออกมาจากรากเดิม เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้อาจเกิดที่ตำแหน่งต่าง ๆ กันของราก อาจเกิดที่ปลายรากหรือตามด้านข้างถัดจากปลายรากลงมาก็ได้ (ภาพที่ 1) ส่วนรากที่ปลูกในอาหารที่มี 2,4-D 2, 3 และ 4 ppm รากจะตายหมด

อาการเริ่มแรกของรากที่ปลูกในอาหารที่มี 2, 4-D ในปริมาณ 0.5-1 ppm คือที่ปลายรากกลมมนมีสีเขียวจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และสีน้ำตาลในเดือนแรก แล้วต่อมาก็จะเกิดรอยปริแตกออกเนื่องจากเนื้อเยื่อข้างในมีการเจริญเติบโตแบ่งตัวอย่างรวดเร็วดันออกมา เนื้อเยื่อที่เกิดใหม่นี้เป็นก้อนสีเขียวผิวขรุขระ ถ้าทิ้งไว้นาน ๆ ประมาณ 3-4 เดือน ผิวของเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่นี้จะเป็นสีขาวเป็นแห่ง ๆ (ภาพที่ 2) เมื่อตัดเอาเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่ทั้งหมดนี้ไปเลี้ยงในอาหาร Vacin and Went ที่มีน้ำมะพร้าว 15% แต่ไม่มี 2,4-D ก็จะสร้างโปรโตคอร์มขึ้นมา มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ สีเขียว มีรากขนอ่อนเกิดข้าง ๆ (ภาพที่ 3) โปรโตคอร์มแต่ละอันจะสร้างใบและราก กลายเป็นต้น ถ้าทิ้งไว้ในอาหารเดิม (ภาพที่ 4) เมื่อแข็งแรงดีแล้ว ก็นำไปปลูกในเรือนต้นไม้ต่อไป แต่ถ้าต้องการต้นเป็นจำนวนมาก ก็แยกโปรโตรคอร์มออกจากกันและนำไปเลี้ยงในอาหารใหม่ โปรโตคอร์มก็จะเกิดขึ้นอีกเพิ่มจำนวนเรื่อยไป จนได้ปริมาณเท่าที่ต้องการ ก็ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ในอาหารแข็ง โปรโตคอร์มแต่ละอันก็กลายเป็นต้น